‘ฮั้ว ส.ว.’ หนึ่งเร็ว : หนึ่งช้า!!!

ความแตกต่างของ 2 องค์กร “คดีฮั้ว สว.” ฝั่งหนึ่งเกี่ยวข้องกฎหมายเลือกตั้ง เกี่ยวพัน 138 ส.ว. บวก 91 กก.บห. ภท.และเครือข่าย อีกฝั่ง! โฟกัส…ปม “อั้งยี่-ซ่องโจร” สอบพยานแล้วกว่า 90 ปาก ตรวจสอบเส้นเงิน – ข้อมูลจากมือถือ เชื่อมโยง 1,200 ผู้สมัคร ส.ว. ครอบคลุม 45 จังหวัด ความล่าช้า! อาจกระทบความโปร่งใสและเชื่อมั่น? ยิ่ง กกต.ดึงเรื่อง กระทั่งหากผลแห่งคดี “ขัดความรู้สึก” ของคนไทย สิ่งนี้…จะวกกลับมาทำลาย กกต.อย่างรุนแรงจนอาจคาดไม่ถึง!!??
คดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2567–2568 กลายเป็นประเด็นร้อน! ที่สังคมไทยติดตามอย่างไม่กะพริบตา
ทั้งเพราะเกี่ยวพันกับ “บุคคลระดับสูง” ในฝั่งของวุฒิสภาจำนวนมาก และยังโยงไปถึง นักการเมืองและพรรคการเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งถูกกล่าวหาว่า…
อาจมีส่วนรู้เห็นหรืออยู่เบื้องหลังการจัดตั้งเครือข่ายเพื่อสมคบกันคัดเลือก ส.ว. แบบไม่เป็นธรรม!!!
ข้อกล่าวหานี้…ทำให้ ภาพลักษณ์ของ “ระบบการได้มาซึ่ง ส.ว.” ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ได้ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า…
มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือเพียงใด!!??
“2 หน่วยงานหลัก” ที่ตกเป็นเป้าสายตาในคดีนี้ ก็คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งต่างมีอำนาจหน้าที่ในมิติที่แตกต่างกัน
แต่เมื่อเปรียบเทียบความเร็วและความชัดเจนของการดำเนินงานแล้ว กลับปรากฏภาพที่ “ตัดกัน” อย่างชัดเจนในสายตาสาธารณะ
ฝั่ง DSI ดูเหมือนจะเคลื่อนอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ในขณะที่ กกต. กลับถูกวิจารณ์ว่า…ดำเนินการเชื่องช้าและอาจกำลังถ่วงเวลาโดยไม่จำเป็น???
กกต. ทำหน้าที่ในกรอบ “กฎหมายเลือกตั้ง” ตรวจสอบและวินิจฉัยความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2561 และ หากพบพรรคการเมืองเกี่ยวข้องยังมีอำนาจเสนอศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคได้ตามมาตรา 77(1) แต่ขั้นตอนการพิจารณาภายในองค์กรนั้น…ซับซ้อนมาก กกต.จัดแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่…
การวิเคราะห์สำนวนในสำนักงาน กกต. (ไม่เกิน 60 วัน) การพิจารณาในชั้นอนุกรรมการวินิจฉัย (ไม่เกิน 90 วัน) และ การชี้ขาดของบอร์ด กกต.ชุดใหญ่ (ไม่เกิน 90 วัน) รวมเป็นเพดานสูงสุด 8 เดือน
แม้ กกต. จะย้ำว่า…สิ่งนี้ สามารถทำเร็วกว่านั้นได้ หากหลักฐานครบถ้วน แต่ในมุมมองสังคมไทย “ระยะเวลาหลายเดือนในคดี” ในลักษณะ “นานเกินไป” ต่างอยู่ในความสนใจของสังคมไทยที่สูงมากถึงมากที่สุด
สิ่งนี้…ย่อมสร้างความกังขา และถูกตีความว่า…เป็นความล่าช้าแบบจงใจหรือไม่???
ขณะที่ DSI เดินคดีในมิติอาญา เน้นข้อหาหนักอย่าง…อั้งยี่และฟอกเงิน ซึ่งมีข้อเท็จจริงที่ว่า…โครงสร้างการทำงานและกระบวนการภายในไม่ซับซ้อนเท่า กกต.
ดังนั้น จึงสามารถสร้างภาพการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและต่อเนื่องได้ง่ายกว่า!!!
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าล่าสุด! ได้ชี้ให้เห็นถึงความต่างนี้อย่างชัดเจน โดยเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2568 คณะกรรมการไต่สวนกลางชุดที่ 26 ซึ่งมี ตัวแทนจาก DSI ร่วมด้วย ได้ส่งสำนวนเสนอให้ กกต.เอาผิดผู้เกี่ยวข้องรวม 229 คน ตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ว. หลายมาตรา แบ่งเป็น…
ส.ว.ปัจจุบัน 138 คน
และ กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยรวมเครือข่ายอีก 91 คน
โดยขณะนี้ สำนวนอยู่ในขั้นตอนที่ 2 ภายในสำนักงาน กกต. คือ ช่วงการทำความเห็นของเลขาธิการ กกต.
ทั้งนี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้มอบหมายให้ รองเลขาฯ ฝ่ายสืบสวนกำกับ และตั้งเป้ากรอบเวลา 30 วัน (ซึ่งขยายได้) ก่อนส่งต่อให้ชั้น อนุกรรมการวินิจฉัยพิจารณา จากนั้น…จึงเข้าสู่ บอร์ด กกต.ชุดใหญ่ เพื่อชี้ขาด
ทั้งหมดนี้…เป็นเพียง กระบวนการภายในที่ยังต้องดำเนินไปอีกหลายขั้นตอน ขณะที่ คดีระดับจังหวัด เช่น ร้อยเอ็ดและยะลา แม้มีการส่งฟ้องศาลแล้วรวม 32 ราย แต่ก็ยังเหลืออีกจำนวนมากที่รอการพิจารณา
ในอีกด้านหนึ่ง DSI กลับมีพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมและชัดเจนกว่าในสายตาประชาชน คดีนี้ถูกจัดเป็น “คดีพิเศษที่ 24/2568” มุ่งดำเนินการในข้อหาอั้งยี่และฟอกเงิน
DSI ได้สอบพยานไปแล้วกว่า 90 ปาก ทำการจำลองเหตุการณ์ ตรวจสอบเส้นทางการเงินและข้อมูลโทรศัพท์มือถือ จนพบความเชื่อมโยงของผู้สมัคร ส.ว. ราว 1,200 คน ครอบคลุม 45 จังหวัด และเตรียมออกหมายเรียกผู้สมัครทั้งหมดมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม
การเปิดเผย ตัวเลขขนาดใหญ่ นี้ต่อสาธารณะ ได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมาก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับฝั่ง กกต. ว่าเหตุใดจึงยังอยู่เพียงขั้นวิเคราะห์สำนวน???
การเปรียบเทียบเช่นนี้ ยิ่งจะทำให้ภาพลักษณ์ของ กกต. ถูกวิพากษ์ว่าดำเนินการช้า!!!
ทั้งที่ในทางข้อเท็จจริง ผลการวินิจฉัยของ กกต. มีน้ำหนักทางการเมืองและกฎหมายสูงกว่าผลการสอบสวนของ DSI ในบางมิติ เพราะอาจนำไปสู่การพ้นตำแหน่งของ ส.ว. หรือการยุบพรรคการเมืองได้
ดังนั้น การทำงานของ กกต. จึงต้องพิถีพิถันอย่างยิ่ง!!! เพื่อป้องกันการถูกโต้แย้งหรือคว่ำมติในชั้นศาล
ความล่าช้า…จึงอาจสะท้อนถึง ความระมัดระวังมากกว่าความเฉื่อยชา
แต่ในภาวะที่ สังคมไทย ต่างเรียกร้องถึงความชัดเจนและความรวดเร็วในการจัดการกับการทุจริต ความระมัดระวังที่ใช้เวลามากเกินไป ก็กลายเป็น “ข้อเสีย” ที่กระทบความเชื่อมั่นโดยตรง
อีกปัจจัยที่ทำให้ความรู้สึกเรื่อง “กกต.ช้า” รุนแรงขึ้น คือการที่ DSI ใช้กลยุทธ์การสื่อสารและการเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทำให้สังคมเห็นความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ในขณะที่ กกต. แถลงเพียงบางครั้งและมักอ้างข้อจำกัดทางกฎหมาย ทำให้ประชาชนรับรู้เพียงว่า “คดียังอยู่ระหว่างพิจารณา” โดยไม่มีความคืบหน้าที่จับต้องได้
ทางด้านการเมืองเอง….โดยเฉพาะในบริบทของ สว.ชุดปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในข่าย “ต้องคดี” ทั้งในมุมของ กกต.และ DSI
แต่ทว่าพวกเขายังคง…เดินหน้าต่อ โดยไม่รอผลแห่งคดี???
โดยมุ่งเน้นทำหน้าที่ลงมติในเรื่องสำคัญๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง…การลงมติรับรองบุคคลในตำแหน่งองค์กรอิสระ
และสิ่งนี้…ที่ได้สร้างแรงกดดันให้ กกต. ต้องตัดสินใจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดให้หนักข้อมากยิ่งขึ้น!!!
เพราะ ความล่าช้าของ กกต. อาจส่งผลสะเทือนไปถึงการสรรหากรรมการในองค์กรอิสระ ซึ่งในภาวะที่ สว.กลุ่มนี้ อยู่ในข่าย “ต้องคดี” หากปล่อยให้มีกระบวนการสรรหาต่อไป
ย่อมไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับ กกต. เอง
ถึงตรงนี้ สังคมไทยต่างเข้าใจตรงกันในมิติ ที่ว่า…แม้ 2 หน่วยงานจะดำเนินคดีใน “เส้นทางกฎหมาย” ที่แตกต่างกัน แต่ “เส้นเรื่อง” ของคดีฮั้ว ส.ว. ก็จะต้องกลับมบรรจบกัน! ตรงที่ความคาดหวังของสังคมไทย ซึ่งต้องการเห็นการจัดการที่จริงจัง โปร่งใส และรวดเร็ว
การที่ DSI เดินเกมเร็วอาจกลายเป็นแรงกดดันให้ กกต. ต้องเร่งสปีดตามทัน เพราะยิ่งปล่อยให้ภาพลักษณ์ “กกต.ช้า” ติดแน่นนานเท่าไร ความไว้วางใจจากสาธารณะก็ยิ่งถดถอย
ท้ายที่สุด! หาก กกต. มีมติไปในทิศทางที่ “ขัดกับความรู้สึก” ของประชาชน ย่อมต้องส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพขององค์กรอิสระนี้
และอาจรุนแรงยิ่งกว่าตัวคดีเอง!!!
ถึงบรรทัดนี้…“คดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.” จึงไม่ใช่เพียง…คดีทุจริตการเมืองธรรมดา แต่เป็น สนามทดสอบศักยภาพและความน่าเชื่อถือของทั้ง กกต. และ DSI ในการทำหน้าที่ภายใต้แรงกดดันสูง
ในฝั่งของ กกต.เอง คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง…ความรอบคอบกับความรวดเร็ว
ขณะที่ DSI ใช้ความเร็วและการเปิดเผยข้อมูลเป็นเครื่องมือกดดัน
สุดท้ายแล้ว สังคมจะตัดสินความน่าเชื่อถือของทั้ง 2 องค์กร ไม่เพียงจาก “ผลคดี” แต่จะมาจาก “จังหวะก้าวและความโปร่งใส” ในการเดินเกมในระหว่างทาง ด้วย.