ตัด – ปรับ – โยก!!!

ภาพนักเรียนทุนต่างด้าว ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จนบางคนเรียนจบหมอ! ทำคลิปก่นด่า…เหยียบย่ำธงชาติไทย! นับเป็นข้อเสนอที่ดี จากกลุ่ม สว. ที่เสนอให้ “ตัด ปรับ หรือโยก” เอางบการศึกษาปีละกว่า 837 ล้านบาท ดูแล “เด็กต่างด้าว” ทั้งที่เข้าเมืองถูกและผิดกฎหมายกว่า 108,000 คน ไปใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น

กลับกลอก โกหก ปลิ้นปล้อน กระล่อน ตอแหล แว้งกัด เลี้ยงไม่เชื่อง สับปลับ เนรคุณ ทรยศ ชั่วช้า สามานย์ ฯลฯ

คำข้างต้น…เป็น “วลีพื้นบ้าน” ที่คนไทยมักใช้เรียกขานเป็นคำ “สบถด่า!” เอากับมนุษย์บางชาติพันธุ์???

ครั้นจะบอกว่าเป็นเพราะ…การศึกษา ที่ “ผู้นำประเทศ” ของพวกเขา…แอบ “ฝั่งชิพ” ใส่หัวมาตั้งแต่เด็ก จากหลักสูตรการศึกษาที่เขียนให้คนไทย…กลายเป็นคนไม่ดี

ปล้นและแย่งชิงแผ่นดิน ความมั่งคั่ง ไปจนถึงศิลปวัฒนธรรม จนพวกเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว???

คำถามตัวโตๆ ตามมา คือ…หากชนชาติหนึ่ง ปล้นเอาศิลปวัฒนธรรมจากชนชาติหนึ่งไป มันทำให้ชนชาตินั้น ไม่หลงเหลือศิลปวัฒนธรรมเลยหรือ???

หรือเป็นเพราะพวกเขา…ไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น!!!

มนุษย์บางชาติพันธุ์ที่ว่านี้…บางคนได้เข้ามาทำงานหากิน จนมีเงินเก็บอยู่มากในระดับหนึ่ง

บางคนเข้ามาเรียน บางคนเข้ามามาพักรักษาตัว มาคลอดลูก มาแย่งชิงเอาทรัพยากรจากเงินงบประมาณแผ่นดินของไทยไป

หลายคน…ได้เป็น นักเรียนและนักศึกษาทุน ทั้งทุนจาก สถาบันการศึกษา ทุนรัฐบาล แม้กระทั่ง ทุนพระราชทาน บางคนได้รับเป็น “ทุนนักเรียนแพทย์” ซึ่งถือว่าเป็น ที่สุด! ของทุนจากประเทศไทย

ทว่า…สายเลือดที่ฝังอยู่ในกายและสมองของพวกเขา มันไม่ได้ต่างไปจากคำ “สบถด่า!” ข้างต้นของคนไทยสักเท่าใด?

แพทย์บางคนที่ได้รับทุนฯจากประเทศไทย เรียนจบและทำงานในบ้านเกิด เมื่อมีเหตุปะทะระหว่างทหารของ 2 ประเทศ และเป็นสิทธิ์ที่ประเทศหนึ่งจะปฏิเสธการรักษาทหารของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ข้าศึกศัตรู” และไม่ใช่เรื่องแปลกในเวทีโลก

ทว่าแพทย์บางคนที่ว่า…กลับทำคลิปออกมาก่นด่า กล่าวหา และโจมตี ประเทศไทย แบบสุดๆ!!!

และมีนักเรียนระดับประถมศึกษาขึ้นไปหลายคน ทำคลิป! เหยียบย่ำธงไตรรงค์…ธงชาติของไทย ให้คนไทยเจ็บช้ำและแค้นเคืองสุดๆ

พฤติกรรมของพวกเขา…ช่างเข้ากับคำ “สบถด่า!” ข้างต้นได้เป็นอย่างดี

ไม่แปลก!…หากจะมีคนไทยบางกลุ่ม?  ออกมาเรียกร้องให้…รัฐบาลไทย ตัดงบช่วยเหลือคนต่างด้าวพรรค์นี้ ออกให้หมด

ตัวอย่างที่ “ได้ใจ” ของคนไทยทั้งแผ่นดิน คงไม่พ้น กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ภายใต้การนำของ นายกมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่พวกเขาเพิ่งออกมาปฏิบัติการ…เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาลดหรือชะลอการช่วยเหลือด้านการศึกษาที่แก่เด็กกัมพูชาในประเทศไทย

กับข้อเท็จจริงที่ว่า…เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่ได้สร้างเพียงความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงนโยบายความร่วมมือด้านการศึกษา

สิ่งนี้…มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว!!!

“ส.ว.กมล” อ้างข้อมูลว่า…แต่ละปี รัฐบาลไทยต้องใช้งบประมาณราว 837 ล้านบาท ในการดูแลเด็กต่างด้าวกว่า 108,000 คน ซึ่งรวมถึงเด็กที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยเด็กกัมพูชาถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่ได้รับประโยชน์

ตัวเลขนี้…ถูกเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายต่อหัวของเด็กไทย และถูกชูขึ้นเป็นเหตุผลว่า…รัฐบาลควรจัดลำดับความสำคัญใหม่ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในจุดเปราะบาง

นอกจาก งบการศึกษา แล้ว ความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย ยังครอบคลุมไปปถึง…ค่าเล่าเรียน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์การเรียน ตำรา การพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมถึงอาหารกลางวันและนมโรงเรียน

ซึ่งเป็น “สวัสดิการ” ที่แม้แต่เด็กไทยในโรงเรียนเอกชน ยังได้รับเพียงบางส่วน เท่านั้น!!??

ข้อมูลเหล่านี้…ถูกนำมาใช้เพื่อชี้ให้เห็นความไม่สมดุลของการใช้งบประมาณระหว่างเด็กไทยกับเด็กต่างด้าว

มีเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.พื้นที่ชายแดน เช่น พื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ ที่สะท้อน “อีกชั้นของปัญหา” โดยที่พวกเขาย้อนถึง…ประวัติศาสตร์ยุคที่ไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่กัมพูชาในช่วงสงคราม

แต่ปัจจุบันกลับมองว่า…กัมพูชา “ไม่สำนึกบุญคุณ”

การอ้างอดีตเช่นนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องความรู้สึก แต่ยังเชื่อมโยงกับมิติความมั่นคง เพราะเมื่อ “เพื่อนบ้าน” กลายเป็น “คู่ขัดแย้ง” ดังนั้น การลดการสนับสนุนในเชิงโครงสร้างจึงถูกมองว่าเป็นมาตรการตอบโต้ที่สมเหตุสมผล

แม้ข้อเสนอนี้ อาจถูกตั้งคำถามเรื่องสิทธิมนุษยชน กระนั้น “ส.ว.กมล” ยังคงยืนยันว่า…การจำกัดความช่วยเหลือไว้เฉพาะเด็กที่เข้าเมืองถูกกฎหมาย ไม่ถือว่าละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพราะยังมีการดูแลกลุ่มที่มี “สถานะถูกต้องตามกฎหมาย”

คล้ายแนวปฏิบัติของหลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ หรือรัฐในยุโรปบางแห่ง ที่ใช้เกณฑ์กฎหมายคนเข้าเมืองเป็นตัวกรองสวัสดิการ

แม้ฝ่ายที่เห็นต่าง จะมองอีกมุมว่า การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดปัญหาสังคมในระยะยาว

การ “ตัดสิทธิ” ด้านการศึกษา อาจผลักให้เด็กต่างด้าวกลุ่มนี้ อยู่ในสภาพ “ไร้ทางเลือก” และเอาจเพิ่ม “ความเสี่ยง” ต่อปัญหาอาชญากรรม แรงงานผิดกฎหมาย หรือการค้ามนุษย์

ท้ายที่สุด! สิ่งนี้…อาจย้อนสร้างภาระให้สังคมไทย???

อย่างไรก็ตาม หากจะมองในอีกมิติ จะเห็นได้ว่า…การปรับนโยบายช่วยเหลืออาจถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” กดดันทางการทูต เพื่อบีบให้ “รัฐบาลกัมพูชา” จำต้องปรับท่าทีต่อไทย

โดยเฉพาะ ในประเด็นชายแดนและความร่วมมืออื่นๆ

แต่หากทาง ฝั่งกัมพูชา…ปฏิเสธจะปรับท่าทีต่อไทย ก็มีข้อเสนอจาก ส.ว.บางคน? ที่เสนอให้ปรับโอนงบประมาณหรือโควตาทุน ไปยังประเทศพันธมิตรอื่นแทน

สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่มั่นคงกว่า ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุดในยามนี้

ส่วนชาติไหน? จะเห็นว่า…ไทยกำลังเดินเสี่ยง??? เพราะอาจถูกมองว่า…กำลังใช้ “สิทธิเด็ก” เป็นตัวประกันในการเจรจา จนอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ และเปิดช่องให้กัมพูชานำประเด็นนี้ไปขยายผลในเวทีการทูตพหุภาคี

คนไทย…ก็ต้องให้ชาติเหล่านั้น มอบ “สิทธิเด็ก” และเอาเด็กต่างด้าวเหล่านั้น ไปศึกษาในประเทศของพวกเขา!!!

ส่วนประเด็นที่การ “ตัดสิทธิ” ด้านการศึกษา ที่สุดอาจกลายเป็น “บุมเบอร์แลง” สะท้อนกลับมาสร้างปัญหาและเป็นภาระให้สังคมไทย ก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตกันไป

“ทำดี”…ไทยเราก็เปิดโอกาสให้ แต่หาก “ทำร้าย” บ้านเมืองไทยก็มีกฎหมายคอยจัดการ คู่ขนานไปกับกลุ่มคนไทยเอง ที่พร้อมจะ “ปะฉะดะ!” เอากับพวก กเฬวราก (คนไร้ประโยชน์ คนชั่ว คนเลว) เหล่านี้ แบบตาต่อตา…ฟันต่อฟัน อยู่แล้ว!!!

นาทีนี้ พฤติกรรมของ “ผู้นำกัมพูชา” มันสะท้อนถึงตัวแทนที่สอดรับกับวลีคำ “สบถด่า!” ของคนไทย ได้ชัดเจนสุดๆ จนแทบไม่ต้องอธิบายความแต่อย่างใด???

กับข้อเสนอของ “ส.ว.กมล” ที่เสนอให้ รัฐบาลปรับกลยุทธ์การใช้งบประมาณเพื่อการศึกษากับ “เด็กต่างด้าว” เสียใหม่ โดยยังคงดูแลเด็กๆ ที่พ่อแม่เข้าเมืองมาทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมายต่อไป

สิ่งนี้…ก็น่าจะเป็นคำตอบของข้อสงสัยที่ว่า…ประเทศไทย ควรจะจัดลำดับความสำคัญระหว่าง “การปกป้องผลประโยชน์ของคนในชาติ” กับ “การรักษาบทบาทผู้นำด้านมนุษยธรรมในภูมิภาค” อย่างไร?

โดยไม่ให้…สมการนี้  ต้องตัด “ตัวแปรสำคัญ” อย่าง “อนาคตของเด็ก” ออกไป…

คำตอบทั้งหมด…มีอยู่ในบทความข่าวชิ้นนี้แล้ว!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password