‘ทีมเดอะอ้วน’ เยือน 40 อุยกูร์ถึงซินเจียง – อาจ ‘แหกหน้า’ สหรัฐฯ&รัฐสภายุโรป

ใครเป็น…นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และรัฐบาลไทย ในยามนี้ คงกุมขมับไม่ต่างกันนัก!
ผลพวงต่อเนื่องจากการที่ ทางการไทย ส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คน ที่ถูกคุมขังไว้ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2557 (ค.ศ.2014) รวมเวลา 10 ปีเศษ กลับไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2568
ทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ และสภายุโรป ต่างดำเนินนโยบายต่างประเทศกับรัฐบาลไทยในทิศทางเดียวกัน
ฝั่งสหรัฐฯ โดย นายมาร์โค รูบิโอ รมต.ต่างประเทศ ประกาศลงโทษด้วยมาตรการวีซ่า ต่อเจ้าหน้าที่ปัจจุบันและในอดีตของไทยที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและทางอ้อมกับการบังคับเนรเทศชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน
ในเวลาไล่เลียงกัน ทางฟากของ รัฐสภายุโรป ที่มิใช่ สหภาพยุโรป (อียู) ก็ออกแอ็กชั่นต่อรัฐบาลไทย ในทำนองที่ไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ไปโฟกัสในเรื่อง…การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement-FTA) เพื่อกดดันให้ไทยปรับตัวเรื่องสิทธิและเสรีภาพ
การตอบโต้ทั้งหมด ล้วนมีปมมาจากกรณีดังกล่าว แม้ทางการไทย นำโดย น.ส.แพทองธาร จะยืนยันหนักแน่นว่า…ชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน สมัครใจเดินทางกลับจีน แต่ดูเหมือนรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐสภายุโรป รวมถึงฝ่ายค้านของไทยจะไม่เชื่อถือในข้อมูลเหล่านี้
ตรงกันข้าม กลับมองว่า…พฤติกรรมของรัฐบาลไทย เสมือนเป็นการส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้รัฐบาลจีนดำเนินการทุกวิถีทางที่จะขจัดคนกลุ่มนี้ให้พ้นไปจากแผ่นดินจีน
ฝั่งที่คัดค้านฯ มองว่า…นี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์
แต่กลับมองไม่เห็นว่า…ด้วยข้อหาเพียงแค่ “หลบหนีเข้าเมือง (ไทย)” ถึงกลับต้องถูกจองจำอยู่ในคุกบนแผ่นดินไทย ยาวนานถึง 10 ปี สิ่งนี้…เป็นยิ่งกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชน
จะว่าไปแล้ว…ในรอบหลายปีที่ผ่านมา และปีปัจจุบันจนถึงในอนาคตอันใกล้ ก็เป็น รัฐบาลสหรัฐฯ เสียอีก ที่ทำการ ละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายพื้นที่ของโลก ย้อนกลับไปกับ เรื่องราวของอิรักในดินแดนคูเวต จนถึงล่าสุด ที่ประกาศขับไล่คนต่างชาติที่หลบหนี้เข้าเมืองในสหรัฐฯ
นี่ยังไม่นับรวมการคิดจะ ฮุบดินแดนของแม็กซิโก แคนาดา และช่องแคบปานามา ในยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์
สิ่งนี้…มันยิ่งกว่าการการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่?
จะว่าไปแล้ว การที่ชาวอุยกูร์ ถูกจองจำในคุกเมืองไทยยาวนานถึง 10 ปี นี่ต่างหาก…ที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ก่อนหน้านี้ ทางการไทยเคยถามรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงแนวทางการจะรับผู้อพยพชาวอุยกูร์ไปพักพิงในสหรัฐฯ หรือจะให้ส่งไปยังประเทศอื่นใดหรือไม่?
คำตอบที่ได้ก็คือ “นิ่งเฉย” หรือไม่ก็แค่ เอ่ยชื่อประเทศกันดารในแอฟริกา ที่หากส่งชาวอุยกูร์ไปแล้ว ยืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำว่า…พวกเขาจะอยู่กันอย่างไร? จะมีชีวิตรอดกันได้หรือไม่?
แน่นอนว่า…เรื่องราวเหล่านี้ ชาวอุยกูร์ที่ถูกจองจำในไทย ก็ย่อมจะล่วงรู้จากสายข่าวที่คอยกระซิบ นั่นจึงเป็นเหตุผลให้พวกเขา ยอมกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน
ระหว่างนี้ ทางการไทย คงต้องทำตามคำแนะนำของ “เขาคนนั้น” คนที่สวมบท “สทร.” ให้กับ “รัฐบาลแพทองธาร” นั่นคือ เชิญคนจากฝั่งที่ไม่เห็นด้วยมาพูดคุยและรับฟังเหตุผลของทางการไทย
อย่าลืมว่า…ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เป็นทางการไทยต่างหากที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนกับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ เพราะแค่การแอบลักลอบเข้าเมือง กลับต้องติดคุกในไทยนานถึง 10 ปี การปล่อยตัวกลับบ้านเกิด ถือเป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับชาวอุยกูร์ต่างหาก
ที่สำคัญ ทางการจีน ได้ยืนยันหนักแน่น จะไม่ดำเนินการลงโทษและ/หรือ ดำเนินคดีกับคนกลุ่มนี้ อีกทั้งยังเชิญให้ตัวแทนรัฐบาลไทย เดินทางไปติดตามการใช้ชีวิตของชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน ตามเหตุและปัจจัยที่เหมาะสม
เรื่องคำแนะนำที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีให้กับ กระทรวงการต่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับทาง รัฐสภายุโรป ซึ่งขอย้ำว่า…ไม่ใช่ สหภาพยุโรป ที่รัฐบาลไทยเตรียมจะเจรจาเรื่องการค้าทวิภาคี เอฟทีเอระหว่างกัน เช่นที่ รัฐสภายุโรป เสนอให้ใช้เป็นเงื่อนไขกดดันทางการไทย
มันไม่เกี่ยวกันเลย!!!
อีกเรื่องที่ดูเหมือนจะช่วยลดปมแรงกดดันต่อทางการไทย ก็คือ การที่ตัวแทนรัฐบาล ต้องเร่งจัดโปรแกรมออกเดินทางไปส่องชีวิตความเป็นอยู่ของ 40 ชาวอุยกูร์บนแผ่นดินจีน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตปกครองพิเศษซินเจียง
ล่าสุด เป็น “บิ๊กอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และคณะสื่อมวลชน รวมกว่า 25 คน เตรียมจะเดินทางไปท่าอากาศ ยานเมืองคาซือ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ระหว่างวันที่ 18-20 มี.ค.นี้
รายงานข่าวระบุว่า คณะของนายภูมิธรรม จะออกเดินทางจากไทยไปยังท่าอากาศ ยานเมืองคาซือ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ในวันพรุ่งนี้ (18 มี.ค.) โดยจะมี “ผู้แทนระดับสูง” ของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะและปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ คอยให้การต้อนรับถึงสนามบินฯ
ตัวแทนรัฐบาลไทยจะได้รับฟังการบรรยายสรุปผล เกี่ยวกับการดูแลกลุ่มบุคคลที่ส่งกลับจากไทย จากผู้แทนเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
จากนั้น จะได้เดินทางต่อในระยะทางอีกราว ระยะ 150-200 กิโลเมตรจากเมืองคาซือ เพื่อไปเยี่ยมเยือนชาวอุยกูร์ที่เดินทางกลับจากไทย ณ บ้านพักส่วนตัว ภายในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ และจะได้หารือร่วมกับ ผู้บริหารเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ก่อนจะเข้าเยี่ยมชมพื้นที่สำคัญทางวัฒนธรรมเมืองโบราณคัชการ์ และมัสยิดอิดกะฮ์ (Id Kah) รวมถึงต้องเข้าหารือกับ “ผู้นำศาสนาอิสลาม” และเยี่ยมชมพื้นที่พัฒนาทางเทคโนโลยี และเศรษฐกิจของมณฑลซินเจียง ก่อนเดินทางกลับไทย ในเวลา 20.00 น. ตามเวลาในประเทศจีน
หวังว่า…การเดินทางไปเยี่ยม 40 ชาวอุยกูร์ ถึงเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ภายใต้การนำของ นายภูมิธรรม พร้อมด้วย รมว.ยุติธรรม และข้าราชการในสายงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง “สื่อใหญ่” อีกหลายคน รวมเป็น 25 ชีวิต ในรอบนี้…
ก็น่าจะมีข่าวสารความเคลื่อนไวห รวมถึงภาพนิ่งและคลิปวิดีโอ ทั้งไลฟ์สดและแห้ง กลับมาตีแผ่เรื่องความเป็นจริงของ ชาวอุยกูร์ทั้ง 40 ชีวิต ที่เดินทางจากคุกไทย เพื่อไปใช้ชีวิตกับครอบครัวบนแผ่นดินเกิด
ทำให้ดีเหอะ! ไม่เพียงจะได้นำเสนอภาพความเป็นจริงของ 40 ชาวอุยกูร์ หากยังอาจได้ “แหกหน้า” คนโต…ทั้งฝั่งสหรัฐและรัฐสภายุโรป ก็เป็นไปได้!!!.