‘ตัวช่วยชั้นดี’ ในสถานการณ์เพลี้ยงพล้ำ ปม MOU 44-เกาะกูด-แบ่งปันขุมทรัพย์ใต้ทะเล ‘คนละครึ่ง!’

การสูญเสียพันธมิตรในฝั่งกองเชียร์ฝ่ายประชาธิปไตยและบางส่วนของคนเสื้อแดง ทำให้รัฐบาลที่มี พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำค่อนข้างจะสูญสิ้นความศรัทธาลงไปเรื่อยๆ

ล่าสุด มีหลากหลายประเด็นที่ฉุดเครดิตความน่าเชื่อถือทั้งของ “รัฐบาลแพทองธาร” และพรรคเพื่อไทย ลงไปได้เรื่อยๆ ชนิด…ยากจะหาจุดต่ำสุดได้!

นับแต่…การครอบงำพรรคเพื่อไทยของ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กระทั่ง เป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ฝ่ายตรงข้ามได้ยื่นเรื่องเสนอให้มีการยุบพรรคฯในปัจจุบัน รวมถึงประเด็นที่รัฐบาลฯ ได้ส่ง “รองฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เข้าเจรจากับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

โดยมีเรื่อง “วัฒนธรรมร่วม” ระหว่าง 2 ชาติ แถมเป็นชาติที่ชอบเคลมวัฒนธรรมไทย และยังกล่าวหาว่าไทยเป็น “โจรสยาม”  ขโมยวัฒนธรรมในอดีตของพวกเขามา…ให้กลายเป็นประเด็นร้อนมาถึง “นายกฯอิ๊ง” เสียอีก!

ยังจะมีเรื่อง การมอบสัญชาติไทยให้คนต่างด้าว อีกหลายแสนคน ที่ก่อเกิดเป็นกระแสต่อต้านที่ไม่ได้น้อยไปกว่า 3-4 เรื่องก่อนหน้านี้

แต่ที่ดูจะเป็นประเด็นร้อนแรงสุดๆ ถึงขั้นมีการ ปลุกม็อบ! ต่อต้าน และอาจลากยาวไปถึงการ “กวักมือ” เรียกให้กองทัพเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง? ก่อนที่ประเทศจะสูญเสียดินแดน โดยเฉพาะ “เกาะกูด” ให้กับ…ประเทศข้างบ้าน

ย้ำว่าเป็น…ประเทศข้างบ้าน ไม่ใช่ “เพื่อนบ้าน” เพราะพฤติกรรมในอดีต ถึงปัจจุบัน และเชื่อว่าจะเลยไปถึงอนาคตอันไกล ผู้นำและประชาชนของประเทศข้างบ้านแห่งนี้ ก็จะยังคงบทบาทความเป็น “เจ้ากรรมนายเวร” กับประเทศไทยและคนไทยต่อไปไม่รู้จบ!

ยกเว้น! ที่หากไม่ใช่ข่าวปล่อย? กรณี ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “เหล้าเก่าในขวดใหม่ อย่าง…นายโดนัลด์ ทรัมป์ หลุดแนวคิดที่จะแทรกแซงประเทศข้างบ้านรายนี้ เป็นข่าวจริง! ขึ้นมาล่ะก็…

การเปลี่ยนตัว “ผู้นำรัฐบาล” ไปจนถึงปรับโครงสร้างการเมืองใหม่ เปิดโอกาสให้ พรรคฝ่ายค้านและผู้ที่เห็นต่างในทางการเมือง กลับมาบริหารประเทศ ร่วมยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ให้อยู่ดี มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี… เหมือนข้างบ้านที่พวกเขาเรียกเป็น “ประเทศ 2 นาฬิกา

อนาคต…ที่คนในประเทศที่ว่านี้ จะได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะด้านการศึกษา ไม่ต้องจมปรักอยู่กับ กำแพงหิน ที่ ผู้นำรุ่นก่อนและปัจจุบัน หลอกหลอนคนในประเทศ จนพากันเกิดเป็น อุปทานหมู่ ไปว่า…ทุกสิ่งอย่างที่ประเทศไทยและคนไทย…มีและทำ คือการขโมยเอาไปจากบรรพบุรุษของพวกเขา

นั่นแหละ…ปัญหาเกาะกูด จึงเป็นแค่ “ตัวหลอก” เพราะ เป้าจริง! ของประเทศข้างบ้าน ที่…ผู้นำรุ่นก่อน ของพวกเขา มีความสนิทแนบแน่นอยู่กับ ผู้นำเก่าของไทย และส่งผลต่อมาถึงผู้นำรุ่นปัจจุบันทั้ง 2 ประเทศ

ต้องการก็คือ…ผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ที่อยู่ใต้ทะเลของน่านน้ำไทยเกือบทั้งหมด จะถูกแบ่งปันในลักษณะ “คนละครึ่ง”!!!

ยิ่งก่อนหน้าที่ “รัฐบาลแพทองธาร” จะแถลงนโยบายฯต่อรัฐสภา ก็เป็น “พ่อของนายกฯอิ๊ง” อดีตนายกฯทักษิณ มิใช่หรือ? ที่ขึ้นไปพูดบนเวทีของ เครือเนชั่น เมื่อหลายเดือนก่อน ทำนอง “แบ่งปันผลประโยชน์คนละครึ่ง” ในทรัพยากรใต้ทะเล บริเวณที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนของ 2 ประเทศ

ตรงนี้แหละ ที่เมื่อ รัฐบาลไทย วางแผนจะไปเจรจากับ…ผู้นำประเทศข้างบ้าน ทั้งที่สังคมไทย ยังไม่หายในความสงสัยและเคลือบแคลงต่อพฤติกรรมของอดีตผู้นำทั้ง 2 ฝั่ง

แถมยังมีเรื่อง การลากเส้นแบ่งพรมแดนทางทะเลของประเทศข้างบ้าน รุกล้ำเข้ามาในเขตน่านน้ำของไทย ชนิดที่โลกสากลไม่มีใครเขาทำกัน แต่รัฐบาลไทยกลับจะไปยอมรับให้เป็น “พื้นที่ทับซ้อน” เพื่อจะได้ขุดเอาขุมทรัพย์ใต้ทะเลมาแบ่งปันกัน

มันจึงกลายเป็น “ของร้อน” ที่อาจทำให้อายุของ “รัฐบาลแพทองธาร” สั้นลงไปกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้

แม้ตัว “นายกฯอิ๊ง” รวมถึง “รองฯอ้วน” นายภูมิธรรม เวชชยชัย และคนในรัฐบาลอีกหลายคน จะพยายามทำความเข้าใจกับคนไทย

แต่ดูเหมือนในสถานการณ์ที่ ฝั่งรัฐบาล…ซึ่งมีต้นทุนการเมืองไม่สูงเหมือนในอดีต ก็คงจะรู้สึกอึดอัดใจ เพราะพูดจาอะไรออกไป…คนไทยก็ค่อยจะเชื่อถือกันนัก

ในความเพลี้ยงพล้ำ! “รัฐบาลแพทองธาร” และพรรคเพื่อไทย กลับจะมี “ตัวช่วยชั้นดี” มาช่วยกอบกู้สถานการณ์นี้

เพราะล่าสุด เมื่อช่วงสายวันที่ 12 พ.ย.2567 นี้เอง นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ออกมาช่วยสร้างความเข้าใจกับสังคมไทย

โดย อาจารย์พนัส ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Panat Tasneeyanond” ในวันดังกล่าว โดยระบุว่า…

เนื้อความใน MOU 44 ไม่มีข้อความใดที่แสดงโดยชัดเจนว่าไทยยอมรับเส้นเขตแดนไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธิลากเส้นผ่ากลางเกาะกูด ซึ่งเป็นการกระทำโดยพลการเพียงฝ่ายเดียว (unilateral act) ของกัมพูชา การทำบันทึกความเข้าใจหรือ MOU 44 โดยกล่าวไว้ชัดเจนว่าในบริเวณที่มีการลากเส้นผ่ากลางเกาะกูด ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะมีการเจรจากันเพื่อหาทางตกลงกันในเรื่องเส้นเขตแดนในบริเวณดังกล่าวต่อไป (บริเวณเหนือเส้นละติจูด 11 เหนือขึ้นไป ซึ่งใน MOU 44 เรียกว่า “พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน) ซึ่งเป็นการแสดงโดยชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า ฝ่ายไทยไม่ยอมรับการลากเส้นเขตแดนไหล่ทวีปโดยพลการดังกล่าว และเป็นการกระทำที่ชอบด้วยหลักกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ ที่รับรองไว้ใน UNCLOS

การที่ฝ่ายรักชาติล้นเกินและสื่อมวลชนบางสำนักพยายามจะตีตวามไปให้ได้ว่าเป็นการยอมรับของฝ่ายไทยไปแล้ว จึงน่าแปลกใจว่าพวกเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรืออย่างไร และถ้าเกิดทางฝ่ายกัมพูชาหยิบยกการตีความที่บรรดาผู้รักชาติเหล่านี้พยายามบอกกันว่าเป็นการยอมรับของฝ่ายไทยเราเองไปแล้วจริง กรณีจะมิเป็นการชี้ช่องให้มีการเซาะกร่อน บ่อนทำลายอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดนประเทศไทยเข้าข่ายเป็นยุยงปลุกปั่นให้มีการรุกรานอธิปไตยของประเทศไทยเสียเองหรืออย่างไร

ไม่ว่าสังคมไทยจะรับฟังและเชื่อถือในข้อมูล ที่ อาจารย์พนัส ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เอาไว้…หรือไม่และอย่างไร?

แต่กับ อดีตนายกฯทักษิณ “นายกฯอิ๊ง” “รัฐบาลแพทองธาร” และพรรคเพื่อไทย แล้ว นาทีนี้…หัวใจคงจะฟูฟ่อง และอาจทำให้การเจรจาความเมืองในสหรัฐอเมริกา ณ เพลานี้ บางคน? ก็คงจะมีพลังในการเจรจาต่อรองกันมากขึ้น

ส่วนผู้คนในสังคมไทย…ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป

ที่สุด! ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ของนักการเมือง อะไร? สำคัญกว่ากัน…ก็คงไม่ต้องบอกกล่าวให้มากความ!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password