คลังผุดไอเดีย ตั้ง ‘วายุภักษ์ 3-ปรับเงื่อนไข ไทยESG’ กระตุ้นการลงทุนตลาดหุ้นไทย

คลังผุดไอเดียตั้งกองทุน “วายุภักษ์ 3” หวังอัดเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทยปีนี้กว่า 5.3 แสนล้านบาท โดยอยู่ระหว่างศึกษาคาดว่าจะเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป 1.5 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% รวมกับเงินกองทุนวายุภักษ์เดิม 3.5 แสนล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาศึกษา 2 เดือน จะเห็นได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ พร้อมการปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ ลดหย่อนภาษีได้ 3 แสนบาท จากเดิม 1 แสนบาท ลดการถือครอง เหลือ 5 ปี จากเดิม 8 ปี เตรียมเสนอเข้าครม.พิจารณาอนุมัติในสัปดาห์หน้า เชื่อจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน ทำให้มีเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทย 3 หมื่นล้านบาท

วันที่ 24 มิ.ย.2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง พร้อมด้วย นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไทย (ก.ล.ต.) และ นายภากร ปิตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกันแถลงข่าว “มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนไทย” โดย นายพิชัย กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาที่จะจัดตั้งกองทุน “วายุภักษ์ 3” ซี่งขอเวลาศึกษาประมาณ 2 เดือน ซึ่งมีกองทุนวายุภักษ์ 1 และวายุภักษ์ 2 อยู่แล้ว ที่มีเม็ดเงินอยู่แล้ว 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะออกกองทุนใหม่ เพื่อขายให้กับประชาชนทั่วไป 1.5 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ย จะอยู่ที่ประมาณ 3% ถ้าเป็นการอ้างอิงจากเงื่อนไขเดิม เบื้องต้นคาดว่าจะได้เหนในไตรมาส 3/2567

“ขอเวลาศึกษากองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเป็นกองใหม่ เนื่องจากมีกองทุนวายุภักษ์ 1-2 อยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นกองวายุภักษ์ 3 ซึ่งคาดว่าจะขายประชาชน ในวงเงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ส่วน Thai ESG คาดว่าจะนำเสนอครม.อนุมัติได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเชื่อว่ามาตรการต่างๆ ที่ออกมาจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติได้ดีขึ้น”

นายพิชัย กล่าวว่าที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยประสบปัญหาเพราะเศรษฐกิจไทยเติบโตและฟื้นตัวได้ไม่มากและรวดเร็วเท่าที่คาด จากความท้าทายหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น “ปัจจัยภายใน” อย่าง สถานการณ์การเมือง ความล่าช้าต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ และ “ปัจจัยภายนอก” อาทิ ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้า

โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตโควิด ส่งผลต่อการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย ทำให้ GDP ติดลบร้อยละ 6.1 ในปี 2563 และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปลายปี 2566 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของไทย เริ่มมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวสูงในปีนี้และต่อเนื่องไปในปีหน้า แม้ว่ายังมีความกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองในต่างประเทศ และความผันผวนของตลาดการเงินจากนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ

โดยเฉพาะจากความคลี่คลายทางการเมืองที่ได้ปลดล็อกการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่กลับมาใกล้เคียงก่อนวิกฤตโควิด โดยนายพิชัยเผยว่าในปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 28 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 35 ล้านภายในปลายปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดซึ่งอยู่ที่ 39 ล้านคนมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา

ขณะที่ นาย ภากร ปิตธวัชชัย กล่าวว่า แม้ดัชนีราคาหุ้นไทย หรือ SET Index จะมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากผลประกอบการที่ลดลงตามเศรษฐกิจ และการที่ทั้งนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนไทยขาดความเชื่อมั่นจนเทขาย ข้อมูลของตลท. ระบุว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของบริษัทจดทะเบียนไทยเกินครึ่งรายงานกำไรสุทธิสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ นอกจากนี้ ยังมีบางอุตสาหกรรมที่ผลประกอบการฟื้นตัวได้ดีขึ้นโดดเด่นกว่าอุตสาหกรรมอื่น นั่นก็คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ขณะที่โดยรวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ไทย ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้น 1.7% ทำให้ ตลท. จึงมองว่าหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปีนี้

นาย ภากร มองว่าระดับราคาของหุ้นไทยที่ปรับลดลง ในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เป็นโอกาสของการเข้าลงทุนในระยะยาวที่รับความเสี่ยงผันผวนในระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ตอบโจทย์การสร้างความเพียงพอ และความมั่นคงทางการเงินของผู้ลงทุนได้

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไทย (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การปรับตัวของราคาของหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว อาจไม่ทำให้นักลงทุนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ คนที่มีรายได้น้อย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออมมาลงทุนในหลักทรัพย์ และเพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาวได้

ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ดำเนินมาตรการส่งเสริมการออมและการลงทุนผ่านการตั้งกองทุนต่างๆ ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสามารถจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกิดการออม สร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (fund flow) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อลดผลกระทบระยะสั้น และสร้างการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนให้ลดการพึ่งพิง fund flow จากต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพในตลาดทุน เช่น RMF LTF SSF และ SSFX

โดยมาตรการส่งเสริมการออมล่าสุดคือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) หรือ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นใน SET หรือ mai รวมไปถึงหุ้นกู้และสินทรัพย์ดิจิทัล หรือดิจิทัลโทเคนต่างๆ ที่ให้ความสำคัญ และมีแนวดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลัก ESG ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้กล่าวมีความน่าดึงดูด และยืดหยุ่นเหมาะกับนักลงทุนรายย่อยมากยิ่งขึ้น กระทรวงการคลังได้มีการปรับเงื่อนไขกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ TESG รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่มีในปัจจุบัน โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี จากเดิมไม่เกิน 100,000 บาท เป็นไม่เกิน 300,000 บาท ลดระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน จากเดิมต้องถือครอง 8 ปี เหลือเพียง 5 ปีเพิ่มหุ้นหรือสินทรัพย์ที่สามารถนำมาเลือกลงทุนในกองทุนได้จาก บริษัทใน SET หรือ mai ที่โดดเด่นด้าน ESG หรือเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มารวมถึง บริษัทที่ได้รับการประเมิน cg rating ของ IOD และมีการเปิดเผยข้อมูลด้าน “บรรษัทภิบาล (G)” ในระดับและรูปแบบที่ ก.ล.ต. กำหนดด้วย

ซึ่งเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้การถือครอง Thai ESG มีความยืดหยุ่นมากขึ้น นักลงทุน exit ได้เร็วมากยิ่งขึ้นไม่ต้องถือยาวถึง 8 ปี รวมถึงทำให้ผู้จัดการกองทุนมีตัวเลือกในการเลือกสินทรัพย์มาใส่ในกองทุนได้มากขึ้นประมาณ 200 ตัว จากปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 128 ตัว มาเป็น 320 กว่าตัว นอกจากนี้ เกณฑ์สินทรัพย์ ESG ที่กว้างขึ้นจากเรื่องสิ่งแวดล้อมมารวมถึงเรื่องบรรษัทภิบาลด้วยจะผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนออกมายกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน และเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพและสร้างเสริมศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนไทยในระยะยาว ในยุคปัจจุบันที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนได้

โดย พิชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ดังกล่าวเข้าครม.พิจารณาอนุมัติในสัปดาห์หน้า ขณะที่ นาง พรอนงค์ เผยว่า ก.ล.ต. จะเปิดเผยเกณฑ์การพิจารณาบริษัทที่มีความโดดเด่นด้านบรรษัทภิบาลให้บริษัทจดทะเบียนและประชาชนรับทราบภายในสองสัปดาห์หลังจากมีการยื่นการปรับเปลี่ยนเกณฑ์เข้าครม.

ทางด้าน ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว ระบุว่าการมีกองทุนแอลทีเอฟเข้ามาช่วย จะสนับสนุนให้ภาพตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้น แต่ต้องไม่มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขที่ผิดไปจากเดิม อย่างระยะเวลาถือครอง ที่มองว่าควรลดลงเหลือ 5 ปีเหมือนเดิม แต่เพิ่มในส่วนของวงเงินซื้อให้มากขึ้นถึง 7 แสนบาทแทน เพราะพิสูจน์ในอดีตมาแล้วว่า หากกำหนดในรูปแบบปริมาณนี้ จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดทุนผ่านกองทุนนี้ค่อนข้างมาก

โดยเชื่อมั่นว่า การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายืนยันด้วยตัวเอง ในการนำกองทุนแอลทีเอฟกลับมาอีกครั้ง เท่ากับหากกระทรวงการคลังยินยอมให้ดำเนินการ เชื่อว่าทำได้เร็ว และออกมาทันใช้ในช่วงปลายปี 2567 นี้แน่นอน ถามว่าจะสามารถทำให้ระดับดัชนีหุ้นที่ยังวิ่งอยู่ไม่ถึง 1,400 จุด กลับไปสู่ที่เดิมได้หรือไม่

“ไพบูลย์” อธิบายว่า ต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย ส่วนแรกเม็ดเงินจากกองทุนแอลทีเอฟเข้ามา โดยตั้งสมมุติฐานไว้หากสามารถประกาศใช้ได้ภายใน 2 เดือนต่อจากนี้ ระยะถือครอง 5 ปี วงเงินซื้อได้ถึง 7 แสนบาท เท่ากับนักลงทุนจะมีเวลาในการซื้อหุ้นเข้ากองทุนประมาณ 6 เดือน หากภาพเป็นแบบนี้ จะมีผลเชิงบวกกับตลาดทุน และภาพรวมเศรษฐกิจสูงมาก พิจารณาจากในอดีตที่มีเงินไหลเข้ากองทุนแอลทีเอฟประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเม็ดเงินไหลเข้ามาในแบบเดิม หรือมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านบาทตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเมินไว้ จะมีอิมแพ็กสูงมากขึ้นอีก

ส่วนที่ 2 รัฐบาลจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง โดยดึงงบประมาณออกมาใช้จ่าย เพื่อส่งสัญญาณที่ดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจให้ได้ จะเพิ่มความมั่นใจให้กับเศรษฐกิจ ส่วนที่ 3 ผลประกอบการ บจ.ที่ออกมาฟื้นตัวได้ดี และสุดท้ายเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลกลับเข้ามาในตลาดทุนไทย โดยหากทั้ง 4 ส่วนมาพร้อมกันได้ จะเป็นส่วนสนับสนุนให้ดัชนีฟื้นตัวดีขึ้นกลับไปสู่จุดเดิมระดับ 1,600 จุดได้ภายในปลายปี 2567 นี้.

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยวา ทางเฟทโก้ จะขอเข้าพบกับ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเยี่ยมคารวะและเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนตลาดทุน และขอบคุณ รมว.คลัง ที่มีแนวทางจะฟื้นกองทุน LTF ให้กลับมาอีกครั้ง “เบื้องต้น FETCO ยินดีอย่างมาก ท่าน รมว.คลัง ให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นและมีแนวคิดที่จะฟื้นกองทุน LTF ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้”

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password