‘รมช.คมนาคม’ ยกทีมสำรวจโครงสร้างคมนาคมทางน้ำทั้งระบบที่เชียงราย
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/S__325353499.jpg)
“ดร.มนพร” นำทีมลงพื้นที่ จ.เชียงราย พร้อมตรวจโครงข่ายคมนาคมทางน้ำทั้งระบบเชื่อมต่อพื้นที่ใกล้เคียง หวังเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สร้างรายได้ประชาชน – เกษตรกรในพื้นที่ เผย! ปีนี้ 2567 นี้ จุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ (สบรวก) ต้องแล้วเสร็จ ช่วยให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า-ออกได้อย่างสะดวก
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/S__325353495.jpg)
ดร.มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า และ นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อติดตามการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทางน้ำ การขุดลอก ก่อสร้างโป๊ะเทียบเรือ และการบริหารจัดการส่งออกสัตว์มีชีวิตของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ ระหว่างเตรียมการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/S__325353501.jpg)
ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ยังได้ติดตามการพัฒนาด้านคมนาคมทางน้ำในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน และความคืบหน้าโครงการขุดลอกต่างตอบแทนพื้นที่ภาคเหนือ โครงการขุดลอกแม่น้ำในประเทศ (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) รวมทั้งร่องน้ำเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การเดินเรือ การอุปโภคบริโภค และเพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อใช้ในภาคการเกษตร โครงการก่อสร้างโป๊ะเทียบเรือจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำอ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นการพัฒนาท่าเทียบเรือให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนที่เดินทางเข้า – ออก ราชอาณาจักรด้วยเรือผ่านจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ (สบรวก) มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2567
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/S__325353497.jpg)
จากนั้น ดร.มนพร และคณะได้ลงพื้นที่ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำในอนุภูมิภาคลุ่มเเม่น้ำโขงที่ได้มาตรฐานสากล เป็นประตูการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนระหว่าง 4 ประเทศ คือ ไทย จีน สปป.ลาว และเมียนมา โดยติดตามการบริหารจัดการท่าเรือ และความคืบหน้าการส่งออกสัตว์มีชีวิตรวมถึงเป็นสถานที่ใช้ลำเลียงปศุสัตว์เพื่อการส่งออก
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/S__325353498.jpg)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับ โครงการสัตว์ส่งออกท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน (ทชส.) ได้ผ่านความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว และสามารถดำเนินโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต (โคเนื้อ กระบือ สุกร) ผ่านที่ ทชส. ในพื้นที่ 1 บริเวณพื้นที่ท่าเรือแนวลาดฝั่งทิศใต้ ได้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป โดยคาดการณ์ปริมาณสัตว์ส่งออกสุกร 15,000 ตัว/เดือน หรือ 180,000 ตัว/ปี โค กระบือ จำนวน 5,000 ตัว/เดือน หรือ 60,000 ตัว/ปี ซึ่ง ทชส. ทำให้มีรายได้จากการดำเนินโครงการฯ เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ การส่งออกสัตว์มีชีวิตผ่านที่ ทชส. ต้องปฏิบัติตามแนวทางตามระเบียบของกรมปศุสัตว์และระเบียบพิธีการของกรมศุลกากรอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การขนถ่ายเป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยผู้ประกอบการต้องทำนัดหมายช่วงเวลาในการขนถ่ายสัตว์ล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง การล้างสิ่งปฏิกูลและฉีดยาฆ่าเชื้อ การขนย้ายโดยมีที่กั้นที่แข็งแรง ถ่ายเทอากาศได้ดี มีอุปกรณ์ช่วยขนสัตว์ขึ้นลง รวมทั้งการทำความสะอาดจุดขนถ่ายสัตว์ เมื่อดำเนินการขนถ่ายแล้วเสร็จ เป็นต้น
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/S__325353500.jpg)
“ปัจจุบันท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนได้ปลดล็อคและดำเนินการตามนโยบายที่ให้ไว้เกี่ยวกับโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต (โคเนื้อ กระบือ สุกร) โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า ด่านกักกันสัตว์เชียงราย หน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งทุกหน่วยงานยินดีสนับสนุนการดำเนินการของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ทั้งนี้ ขอขอบคุณการท่าเรือฯ ที่เร่งรัดดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโค กระบือ เพื่อสร้างรายได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและเกษตรกรที่อยู่บริเวณพื้นที่โดยรอบท่าเรือและอำเภอเชียงแสน และขอให้ดำเนินการตามแนวทางตามระเบียบของกรมปศุสัตว์และระเบียบพิธีการของกรมศุลกากร เพื่อเป็นไปตามมาตรฐาน EIA ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน” ดร.มนพร กล่าวและทิ้งท้ายว่า…
การลงพื้นที่ครั้งนี้ ตนได้รับทราบความคืบหน้าปัญหา อุปสรรค และผลสำเร็จในการพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อความสุขของประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านความสะดวก ความปลอดภัย การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ภายใต้มาตรฐานการให้บริการที่เป็นมาตรฐานสากลและความปลอดภัยสูงสุด.