ล้มเหลว! อันตราย??

สัญญาณอันตราย! มาพร้อมกับภาพความล้มเหลวเชิงนโยบายเศรษฐกิจ จาก 2 เรือธง “แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท – รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” สิ่งนี้…หาใช่แค่ชาติจะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้คนไทยสิ้นศรัทธาต่อระบบการเมืองและการบริหารแผ่นดิน จากนโยบายหาเสียงที่เอาแต่ได้!!!

22 สิงหาคม 2566…รัฐบาลเพื่อไทย แหกความรู้สึกประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย…ก้าวขึ้นสู่ “อำนาจรัฐ” ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชน ที่ว่า…แนวคิด “ทักษิณคิด…เพื่อไทยทำ!” จะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย กระทั่ง…สร้างโอกาสใหม่ กอบกู้ความเชื่อมั่นของสังคมไทย ที่สั่นคลอนจากความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจ

สมดั่งวลีเด็ด! “คนไทย…มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี…ไปพร้อมๆ กัน ค่าาาาาา!!!…”

แต่เมื่อเวลาผ่านไป…กับภาพความเป็นจริง! มันกลับสะท้อนถึง “ปัญหาความล้มเหลวเชิงนโยบาย” อย่างต่อเนื่อง

นโยบายใหญ่ที่ถูกยกเป็น “เรือธง” ในการหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น…โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท หรือ โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ต่างก็เผชิญกับอุปสรรค ที่สร้างความสับสน และเป็นความไม่ชัดเจนอย่างที่สุด!

จนประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่า…รัฐบาลชุดนี้มีความสามารถในการบริหารจัดการประเทศตามที่สัญญาไว้จริงหรือไม่???

และเมื่อ…ความล้มเหลว! ของ “นโยบายสาธารณะ” เหล่านี้เริ่มปรากฏชัด!!!

อันตรายที่ใหญ่กว่า…การสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ก็คือ…การสูญเสียศรัทธาของประชาชนต่อระบบการเมืองและการบริหารประเทศโดยรวม

โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เคยถูกนำเสนอในฐานะ “นโยบายที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการเมืองไทย” ประชาชนจำนวนมากเชื่อว่า…รัฐบาลเพื่อไทย จะเร่งทำการอัดฉีดเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท…เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที

ก่อให้เกิด การจับจ่ายหมุนเวียนและฟื้นฟูความเชื่อมั่น

แต่ในที่สุด…โครงการกลับล้มเหลว!!! จนไม่สามารถเดินหน้าได้จริง และ งบประมาณกว่า 1.57 แสนล้านบาทที่เหลือจากโครงการฯ ได้ถูกวางเป้าหมายใหม่

ตั้งใจจะใช้โยกย้าย…นำเงินจำนวนนี้ ไปทำโครงการย่อยอื่น ๆ ภายในเวลาอันสั้น

กระนั้น ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้ง…นักการเมือง นักวิชาการ และประชาชน แทรกให้ได้ยินดังๆ ว่า…นี่จะเป็นการเปิดช่องให้เกิดการทุจริตเชิงโครงสร้างอย่างกว้างขวางหรือไม่???

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งก็คือ…อดีตคนของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ยุคที่ใช้ชื่อว่าเป็น “พรรคไทยรักไทย” ถึงกับตั้งข้อสังเกตในทำนองว่า…อาจจะเป็นการ “โกงแบบ Fast Track” หรือเปล่า???

เนื่องจากรัฐบาลได้อธิบายถึงเหตุผลและความเป็นในการ เร่งรัดให้หน่วยงานเสนอโครงการภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยขาดกระบวนการตรวจสอบและความโปร่งใส

ก็ไม่แปลกใจ? หากสังคมจะตั้งคำถามในทำนอง…เงินภาษีมหาศาลของประเทศถูกใช้ไปอย่างไร??? และแท้จริงแล้วประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้???

นี่คือ สัญญาณแรก! ของความ “ล้มเหลวเชิงนโยบาย” ที่รัฐบาลไม่สามารถอธิบายต่อสาธารณะได้อย่างน่าเชื่อถือ!!??

ต่อมา นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ซึ่งถูกชูเป็นอีก “เรือธง” ของรัฐบาลเพื่อไทย ก็ประสบกับชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน

รัฐบาลประกาศอย่างมั่นใจว่า…จะเริ่มใช้มาตรการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 แต่เมื่อวันเวลาคืบคลานเข้ามา ความจริง กลับเปิดเผยว่า กฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินนโยบายยังไม่แล้วเสร็จ ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง ร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ ยังติดค้างในสภา บางมาตราเพิ่งเริ่มพิจารณา

บางส่วน ยังต้องรอการรับรองจากวุฒิสภา

เมื่อมี การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ไม่ครบองค์ประชุม…จนเป็นเหตุให้สภาฯล่มอยู่บ่อยครั้ง!!!

ความหวังที่จะผลักดันโครงการนี้ ให้ทันตามกำหนด…ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้!!!

จากคำสัมภาษณ์ที่ นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ออกยอมรับต่อสาธารณะตรงไปตรงมา ว่า “คงไม่ทัน 1 ตุลาคมนี้อย่างแน่นอน”

สะท้อนถึงความไม่พร้อมของรัฐบาลอย่างชัดเจน

แม้รัฐบาลจะพยายามสื่อสารในเชิงบวกว่า…มาตรการนี้ยังสามารถเริ่มใช้ได้ภายในปี 2568 โดยแค่ต้องเลื่อนการใช้ออกไปอีกแค่ราว 1 เดือนเศษ

แต่ข้อเท็จจริงของปัญหานี้ ก็คือ การขาดการเตรียมการและการสื่อสารที่สับสนของรัฐบาล

สำทับจากคำสัมภาษณ์ของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ที่ให้ระบุชัดว่า…นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” น่าจะได้ใช้จริงราวกลางเดือนพฤศจิกายน

สิ่งนี้…ได้ทำให้ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่นกับการขับเคลื่อนนโยบาย “เรือธง” ของรัฐบาลชุดนี้

ในท่ามกลางกระแสความล่าช้าของตัวโครงการ เพราะติดขัดที่ข้อกฎหมายยังไม่ผ่านสภาฯ ทำให้ไม่อาจประกาศใช้ได้ทัน 1 ต.ค. โดยการเลื่อนในเบื้องต้นไปอีก 45 วันนั้น ก็มีกระแสข่าวสวนทางตามมาในทำนองที่ว่า…

หากเปิดตัวโครงการนี้ไม่ได้ แล้วมาตรการ 20 บาทตลอดสาย ของรถไฟฟ้าบางสี โดยเฉพาะสายสีแดงและสีม่วง จะเอาอย่างไรกันแน่???

มีข่าวระบุว่า…อาจต้องกลับไปสู่ราคาปกติ ก่อนหน้าจะถึงการประกาศใช้นโยบายข้างต้น

ประชาชนไม่เพียงไม่ได้รับโอกาสจากนโยบาย “เรือธง” หากยังอาจต้องควักจ่ายเงินเพิ่มเติม เพราะต้องหยุดโครงการเล็ก (20 บาทตลอดสาย ของรถไฟฟ้าบางสี) เพื่อเลี่ยงให้โครงการใหญ่ (20 บาทตลอดสาย ของรถไฟฟ้าทุกสี) ได้โชว์หล่อ…อย่างโดดเด่น???

แต่เมื่อ โชว์หล่อไม่ได้…ทุกข์จึงบังเกิดกับผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วงไปโดยปริยาย!!!

แม้ นายสุริยะ จะยืนยันว่า…รัฐบาลยังสามาถจะ “คงราคาพิเศษ” ต่อไป จนกว่านโยบายใหญ่จะเริ่มใช้จริงได้

แต่ทว่า…ความคลุมเครือเช่นนี้ ก็ยิ่งจะสร้างความสับสนและบั่นทอนความเชื่อใจของประชาชนต่อรัฐบาล อย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้

เมื่อพิจารณา 2 นโยบาย “เรือธง” ทางด้านเศรษฐกิจ ควบคู่กันไปแล้ว จะเห็น “ภาพสะท้อน” ที่คล้ายคลึงกันอย่างน่ากังวล

เพราะทั้ง…การแจกเงินดิจิทัลที่ไม่เกิดขึ้นจริง และนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาททุกสาย…ที่ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก!!!

ล้วนแสดงให้เห็นถึง…ปัญหาเชิงโครงสร้าง! ในการออกแบบนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย

นั่นคือ…การมุ่งเน้น “การประกาศเพื่อสร้างความหวังทางการเมือง” มากกว่าการวางแผนบนพื้นฐานความเป็นจริงของกฎหมาย งบประมาณ และกระบวนการบริหารจัดการ

ผลที่ตามมา ก็คือ ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ตามที่คาดหวัง ขณะที่ประเทศกลับเสียต้นทุนด้านเวลา ทรัพยากร และความเชื่อมั่น!!!

นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เคยเตือนแล้วว่า นโยบายเช่นนี้ มีลักษณะเป็น “ยาแก้ปวดระยะสั้น” หากปราศจากกลไกการเงินที่ยั่งยืนและระบบตรวจสอบที่โปร่งใส ก็จะอยู่ได้ไม่นานและอาจกลายเป็นภาระการคลังในอนาคต

การใช้กำไรสะสมของรัฐวิสาหกิจ เพื่ออุดหนุนค่าโดยสาร หรือการเร่งโยกงบประมาณไปสู่โครงการย่อยที่ขาดการประเมินผลกระทบ ล้วนไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว

กระนั้น รัฐบาลกลับเลือกที่จะเดินหน้าด้วยแนวทางเช่นนี้

สะท้อนถึงความอันตรายของการบริหารนโยบายที่ปราศจากวิสัยทัศน์ยั่งยืน!!!

นาทีนี้…อันตรายที่ใหญ่ที่สุด! ไม่ใช่เพียงการที่ประชาชน “อดได้ประโยชน์” ตามที่ถูกสัญญาไว้ แต่คือ…การบ่อนทำลาย “ศรัทธา” ในระบบการเมือง

หากรัฐบาลยังคงใช้วิธี ประกาศนโยบายเพื่อสร้างคะแนนนิยมโดยไม่ใส่ใจความเป็นไปได้ทางกฎหมายและเศรษฐกิจ แล้ว

ทุกครั้งที่…นโยบายไม่เกิดผลจริง!!! ก็จะยิ่งทำให้ประชาชน สิ้นหวัง! และไม่เชื่อมั่นว่าการเมืองสามารถแก้ปัญหาได้จริง

เมื่อศรัทธาถูกทำลายลง อันตรายที่แท้จริง ก็คือ การเปิดทางให้สังคมเข้าสู่ความแตกแยก กลายเป็นความไม่ไว้วางใจ และการหันหลังให้กับระบบประชาธิปไตย

ดังนั้น ความล้มเหลวของทั้งโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท และโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ไม่ได้เป็นเพียง….เหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่คือ…สัญญาณเตือน! ที่ชัดเจนถึงปัญหาของรัฐบาลเพื่อไทย ในการกำหนดและบริหารนโยบาย

หากรัฐบาลไม่สามารถพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า ทุกนโยบายที่ประกาศมีความจริงจัง โปร่งใส และยั่งยืน แล้วล่ะก็…

ประเทศไทย…อาจไม่ได้เพียงแค่สูญเสียโอกาสในการพัฒนา แต่ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียเสถียรภาพทางการเมืองและความเชื่อมั่นของสังคมโดยรวม

และนั่นคือ…อันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากความล้มเหลวเชิงนโยบายในครั้งนี้!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password