นายกรัฐมนตรีนำแก้หนี้ทั้งระบบ ลั่นต้องจบในรัฐบาลนี้

นายกรัฐมนตรี นำทีมที่ปรึกษานายกฯ และ 2 รมช.คลัง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ 16 ล้านล้านบาท ย้ำ! ทุกฝ่ายรวมถึงเจ้าหนี้ต้องหันมาจับมือแก้ไขปัญหาหนักอกของชาติโดยเร็ว พร้อมแยกลูกหนี้ 4 กลุ่มหลัก กำหนดแนวทางแก้ไขเฉพาะกลุ่ม ลั่น! ต้องจบในรัฐบาลนี้ ยอมรับหนี้บัตรเครดิต 5.4 แสนล้านบาท มีกลุ่มอาการหนักถึง 6.7 หมื่นล้านบาท ที่ต้องเร่งเยียวยาก่อน สั่งแบงก์รัฐ ทั้ง ออมสิน ธ.ก.ส. SAM รวมถึงบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ ประสานความช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มตำรวจและครู

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง รวมถึงผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแถลง อาทิ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงนโยบายการจัดการปัญหาหนี้สิ้นทั้งระบบ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 12 ธ.ค.2566 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ผลกระทบจากปัญหาโควิด -19 ที่ผ่านมา ทำให้ภาคธุรกิจและชีวิตของคนไทยได้รับผลกระทบในวงกว้าง และมีส่วนสำคัญทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึงร้อยละ 90 GDP หรือคิดเป็นมูลหนี้ราว 16 ล้านล้านบาท หากนับเฉพาะหนี้บัตรเครดิตมีสูงถึง 5.4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ในระบบก็มีปัญหาไม่แพ้กับหนี้นอกระบบ บางรายเป็นหนี้เสียคงค้างเป็นเวลานานจนขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ดังนั้น การดูแลลูกหนี้ในระบบที่ประสบปัญหาจึงถือเป็นวาระแห่งชาติเช่นเดียวกัน  เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว  รัฐบาลไม่สามารถปล่อยให้ลูกหนี้ที่ประสบปัญหานี้เผชิญปัญหาอยู่อย่างลำพัง   เพื่อให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางเศรษฐกิจแข็งแรง

โดยรัฐบาลแบ่งกลุ่มลูกหนี้ในระบบที่เป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมาก จนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้ กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน  ทำให้การชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง และ กลุ่มที่ 4 กลุ่มที่เป็นหนี้เสียคงค้างเป็นระยะเวลานาน โดยทุกกลุ่มมีข้อสังเกตที่เหมือนกันคือ ลูกหนี้ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลายเป็นหนี้เสีย เมื่อเป็นหนี้เสียก็ถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับเพิ่ม และวนกลับไปทำให้ชำระไม่ไหวอีก วงจรแบบนี้ส่งผลให้ติดเครดิตบูโร ไม่สามารถขอสินเชื่อในระบบต่อได้  หรือบางรายที่ค้างชำระเป็นเวลานาน  ก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย แม้ว่าลูกหนี้ทุกกลุ่มจะมีสภาพปัญหาคล้ายกัน แต่ต้นตอของปัญหานั้นต่างกัน

ดังนั้น รัฐบาลจึงเตรียมแนวทางช่วยเหลือที่แตกต่างกันตามสาเหตุของปัญหา เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม ดังนี้

ลูกหนี้กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มเอสเอ็มอี  3 ล้านราย เคยมีประวัติการชำระหนี้ดี แต่เพราะผลกระทบจากโควิด-19  ทำให้ธุรกิจต้องสะดุดหยุดลง ขาดสภาพคล่อง  โดยกลุ่มนี้จะได้รับการพักชำระหนี้เป็นเวลา 1 ปี ลดดอกเบี้ยร้อยละ 1  สำหรับลูกหนี้รายย่อย พบว่าส่วนใหญ่มีหนี้เสียกับ ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส.  คาดกลุ่มนี้มีประมาณ 1.1 ล้านราย ส่วนลูกหนี้ SMEs แบงก์รัฐจะเข้าไปช่วยเหลือผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และพักชำระหนี้ให้กับ SMEs  ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 99  ของลูกหนี้ NPL กว่า 100,000 ราย

ลูกหนี้กลุ่มที่ 2 คือ ลูกหนี้มีรายได้ประจำ เช่น กลุ่มข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร  และกลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิต  แบ่งการช่วยเหลือผ่าน 3 แนวทาง ดังนี้ แนวทางแรก คือการลดดอกเบี้ยสินเชื่อไม่ให้สูงจนเกินไป เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ประจำและถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ แนวทางที่สอง การโอนหนี้ทั้งหมดไปยัง สหกรณ์ของแต่ละองค์กร  เพื่อตัดเงินเดือนนำมาชำระหนี้ไม่เกินร้อยละ 70 ของเงินเดือน และ แนวทางสุดท้าย คือ การบังคับใช้หลักเกณฑ์การตัดเงินเดือน ให้ลูกหนี้มีเงินเดือนเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี  โดย 3 แนวทางนี้ จะต้องทำพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งหนี้บัตรเครดิตมีรวมกันราว 23.8 ล้านใบ คิดเป็นมูลหนี้ 5.4 แสนล้านบาท โดยเป็นกลุ่มที่เริ่มมีอาการหนัก 67,000 ล้านบาท

ลูกหนี้กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ เกษตรกร ลูกหนี้เช่าซื้อ คิดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 10 จำนำทะเบียนจักรยายนต์ไม่เกินร้อยละ 23 และลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2.3 ล้านราย  กลุ่มนี้จะได้รับการช่วยเหลือ  ด้วยการพักชำระหนี้ชั่วคราว  การลดดอกเบี้ย  หรือลดเงินผ่อนชำระในแต่ละงวดให้ต่ำลง  เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้เกษตรกร   ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและปริมาณผลผลิตตามฤดูกาล โดยกลุ่มนี้ ในอนาคตจะต้องจัดให้เรียนรู้การบริหารการเงินก่อนการรับเงินกู้ กยศ. สำหรับลูกหนี้เกษตรกร ขณะนี้ได้พักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรแล้ว โดยพักทั้งหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี   มีเกษตรกรเข้าร่วมการพักหนี้กว่า 1.5 ล้านราย   

ลูกหนี้กลุ่มที่ 4 กลุ่มหนี้เสีย ที่มีหนี้คงค้างกับ สถาบันการเงินของรัฐ มาเป็นระยะเวลานาน  จะต้องโอนหนี้ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์  SAM  หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้   คาดว่าช่วยเหลือลูกหนี้ประมาณ 3 ล้านราย  หวังลดภาระดอกเบี้ยจากร้อยละ 16-25 เหลือไม่เกินร้อยละ 15 หากปิดจบหนี้ภายใน 5 ปี 

การแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบให้สำเร็จและมีผลอย่างยั่งยืนนั้น จะต้องบูรณาการทำงาของหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจะได้ร่วมกันเสริมความรู้ระหว่างกัน ผมยืนยันว่ารัฐบาลห่วงใยลูกหนี้ทุกกลุ่มและได้มีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว การดำเนินมาตรการให้สำเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากลูกหนี้ เจ้าหนี้ และหน่วยงานต่าง ๆ หลายภาคส่วน ผมจึงขอมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  ให้มาร่วมกันแก้หนี้ทั้งระบบให้จบภายในรัฐบาลนี้ ร่วมกันสำรวจและซ่อมแซมกลไกทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เครื่องจักรทางเศรษฐกิจเราทำงาน เติบโต และขยายตัวต่อไปได้” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

ด้าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า ในการดำเนินมาตรการแก้ปัญหาหนี้ในประบบ สิ่งที่เริ่มขึ้นโดยทันที คือ การหักเงินเดือนราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงปรับมาชำระหนี้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ในองค์กร โดยมอบหมายให้ธนาคารออมสินเข้าไปช่วยดูแลเพิ่มเติม และคอยปล่อยกู้โดยตรง เพื่อให้สหกรณ์มีทุนปล่อยกู้สวัสดิการเพิ่มเติม เพื่อลดภาระหนี้ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง โดยเฉพาะการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับร้อยละ 7-8 ให้เหลือร้อยละ 5 ซึ่งหากทำได้เชื่อว่าจะช่วยให้ข้าราชการในกลุ่ม ครู ตำรวจ ทหาร ข้าราชการประจำอื่นๆ มีภาระลดลง.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password