สคบ.ดึง กม.ฟอกเงินไล่บี้กลุ่มทุนค้าบุหรี่ไฟฟ้า เดินหน้าไล่ปิด 7 พันเว็บขายเกลื่อนออนไลน์
โทษบุหรี่ไฟฟ้าว่าร้ายแล้ว วิธีเสนอขายร้ายยิ่งกว่า! วงถกโฟกัสกรุ๊ปของ มสส. ชี้ปมบุหรี่ไฟฟ้าสนั้น ด้าน “หมอประกิต” ระบุ! กลยุทธ์ครอบงำตลาด โฟกัสกลุ่มเด็กและเยาวชน ปักธงให้เป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักไม่พอ ยังใช้บริการขนบุหรี่ไฟฟ้าข้ามชายแดนเข้าไทยอีก ระบุ! เด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงกว่าคนไม่สูบ 2-4 เท่า ขณะที่ สคบ. เผย! มี 7 พันเว็บไซต์เสนอขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ จ่อไล่ปิดเรียบ! พ่วงนำกฎหมายฟอกเงิน มากำหราบนายทุนค้าบุหรี่ไฟฟ้า จี้! สื่อและทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบให้ข้อมูลความรู้กับคนไทย ต้านภัยบุหรี่ไฟฟ้า
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพ รัชดา, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปเรื่อง “สางปม บุหรี่ไฟฟ้า… หลากปัญหา รอวันแก้” โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และ นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมเสวนา และมี สื่อมวลชนแขนงต่างๆ จากหลายสำนัก เข้าร่วมประชุมและนำเสนอความเห็น โดยมี นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประกิต กล่าวว่า กฎหมายไทยกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามทั้งการนำเข้า จำหน่าย หรือให้บริการ โดยที่หลายประเทศทั่วโลกต่างก็ประกาศใช้กฎหมายห้ามเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เพิ่มจาก 13 ประเทศในปี 2557 เป็น 32 ประเทศในปี 2564 และมีแนวโน้มที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะเริ่มมองเห็นความสำคัญของปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า ทั่วโลกตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า เพราะมีข้อมูลชัดเจนถึงพิษภัย เช่น เด็กมัธยมปลายอเมริกันสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 1.5% ในปี2554 เป็น 19.6%ในปี 2563, ประเทศนิวซีแลนด์ เด็กอายุ 14-15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 1.9% ในปี 2560 เป็น9.6 % ในปี 2564 ส่วนเด็กมัธยมต้นของไทย อายุ 13-15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 3.3% ในปี 2558 เป็น 8.1% ในปี 2564
จาก รายงานการวิจัยเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลก ส่วนใหญ่สรุปว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจ เพราะละอองลอยมีสารโลหะหนักหลายชนิดเช่นเหล็ก ทองแดง นิกเกิล สังกะสี โครเมี่ยม และตะกั่วที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังพบว่าสารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของสมองเด็กและวัยรุ่น บุหรี่ไฟฟ้าหลายยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับสูบบุหรี่ 20 มวน และบางยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 50 มวน
ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ยังกล่าวถึงข้ออ้างที่ว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในการช่วยเลิกบุหรี่มวนว่าไม่เป็นความจริง โดยในปี 2564 องค์การอนามัยโลกระบุว่าหลักฐานที่บอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ยังสรุปไม่ได้ ส่วนองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกายืนยันเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาว่าไม่เคยรับรองให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียก็ระบุว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ สอดคล้องกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2564-2565 ไม่มีข้อสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้ มิหนำซ้ำยังพบว่า 60 % ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่กลับมาสูบบุหรี่ชนิดมวนใหม่
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ระบุชัดเจนว่า ปัญหาใหญ่สุดของบุหรี่ไฟฟ้าคือ ทำให้เด็กที่ไม่เคยสูบบุหรี่เข้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้าและเด็กที่เริ่มต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่จะสูบบุหรี่ธรรมดามากกว่าเด็กที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 2-4 เท่า รวมทั้งคนที่เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาไปแล้วจะกลับมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน ดังนั้นสื่อมวลชนต้องช่วยกันเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง หาแนวทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆ ที่เข้าถึงเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคุมการโฆษณาในสื่อสมัยใหม่ทุกรูปแบบเพราะบริษัทบุหรี่ไฟฟ้ามักใช้สื่อออนไลน์และสนับสนุนเงินในการจัดกิจกรรมดึงดูดกลุ่มเยาวชน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า การลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น นายทุนผู้อยู่เบื้องหลังมักใช้เด็กและเยาวชนในการลักลอบขนบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากกฎหมายยังไม่สามารถเอาผิดกับเด็กและเยาวชนที่มีอายุไม่มาก เหมือนกรณีผู้ใหญ่ที่แอบลักลอบนำเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องตระหนักและพยายามหาทางป้องกันไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นมาอีก
ด้าน นายเลิศศักดิ์ รักธรรม กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมีหมวดที่ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ทำให้มีการออกคำสั่งของ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ โดยมีค่าตอบแทนรวมถึงการซื้อมาเพื่อขายต่อ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ายังมีความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กับให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและพาหนะใดๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วย และยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วน ผู้ครอบครองหรือรับฝากไว้ จะมีความผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายเลิศศักดิ์ กล่าวอีกว่า สคบ.ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ตำรวจ กรมควบคุมโรค ดำเนินการออกตรวจสอบการขายบุหรี่ไฟฟ้า พบว่า ส่วนใหญ่ไปขายกันในโลกออนไลน์ ซึ่งเด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ โด ยสคบ.ได้ส่งข้อมูลไปยัง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ดำเนินการทางกฎหมายกว่า 300 website ที่สำคัญมีการลักลอบนำเข้ามาตามแนวชายแดนเป็นจำนวนมากในขณะนี้จึงต้องบังคับใช้กฎหมายร่วมกันหลายหน่วยงานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ที่ผ่านมา สคบ.ได้จับกุมผู้ขายในกทม. ที่ตลาดคลองถมถึง13 ครั้ง จับเท่าไรก็ไม่หมด หัวใจสำคัญคือต้องจัดการกับผู้นำเข้ารายใหญ่ ซึ่งมีไม่กี่สิบรายและผู้ขายที่รับมาจากรายใหญ่แล้วกระจายอยู่ทั่วประเทศ ต้องบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาดกับคน 2 กลุ่มนี้ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ประชาชน โดยล่าสุด สคบ. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่า จะมีการนำกฎหมายฟอกเงินมาบังคับใช้กับผู้ที่ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายด้วย เพื่อให้เกิดความเด็ดขาด
“แม้ สบค.จะเร่งดำเนินการไล่ปิดเว็บไซต์ที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าไปมากแล้ว แต่ยังมีอีกราว 7 พันกว่าเว็บไซต์ที่ยังเสนอขายบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักก็คือเด็กและเยาวชน ทำให้ สบค.จะต้องเร่งรัดและไล่ปิดเว็บไซต์ดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากนำกฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงินมาจัดการกับกลุ่มผู้ลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ หรือเว็บไซต์ที่เสนอขายบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว เชื่อว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่หยุดยั้งการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี” ผอ.ส่วนบังคับคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ. ระบุ
ทางด้าน สื่อมวลชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ว่าจำเป็นต้องสื่อสารองค์ความรู้และขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เช่น
นายณรงค์ ปานนอก ประธานชมรมคอลัมนีสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า แนวทางแก้ไขปัญหาอย่างได้ผล ควรจะมีการส่งข้อมูลให้กับผู้มีอำนาจในการแก้ไขปัญหาโดยตรง โดยใช้วิธีการเดียวกับที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เปิดโปงเรื่องกระบวนการทุนสีเทาชาวจีน และพนันออนไลน์
ส่วน นายจิระ ห้องสำเริง ผู้ดำเนินรายการ สถานีวิทยุ ZaabNews FM 96.0 MHz เสนอว่า ควรให้ข้อมูลที่เป็นด้านลบของพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า เพราะเข้าไปดูใน Wikipedia มีแต่ข้อมูลด้านดี เช่น สูบแล้วเท่ห์ ดีกว่าบุหรี่มวน ส่วนข้อมูลด้านลบมีน้อย สังคมรับรู้น้อย
ขณะที่ นายชูชาติ สว่างสาลี ผู้อำนวยการ สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ กล่าวว่า ปัญหาในขณะนี้กระแสเรื่องของกัญชาเสรี และเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า กลายเป็นสิ่งที่สังคมมองเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งรัฐมนตรี กระทรวง DES ยังออกมาสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าเลย นอกจากนี้พรรคการเมือง ก็ยังพยายามจะผลักดันเรื่องนี้ให้ถูกกฎหมาย หากสื่อมวลชนและคนทำงานรณรงค์ ไม่ช่วยกันส่งเสียงเรื่องนี้ ฝ่ายการเมืองคงเดินหน้าเรื่องนี้แน่
และสุดท้าย นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ “เจ้าภาพจัดงานฯในครั้งนี้” ได้กล่าวปิดการประชุมโฟกัสกรุ๊ปว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการดำเนินงาน ตามโครงการ เสริมพลังสื่อมวลชนไทย สร้างเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อน สังคมสุขภาวะ ซึ่งได้รับการสนันสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ข้อมูลที่สื่อมวลชนได้แลกเปลี่ยนในวันนี้ นอกจากจะได้ความรู้ความเข้าใจเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว ยังเห็นแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเพื่อสื่อสารข้อมูลให้สังคมได้รับทราบ และร่วมกันขับเคลื่อนในเชิงมาตรการและนโยบายต่อไป.