OR พลิกโฉมธุรกิจสู่ Inclusive Growth Platform
OR เดินหน้าธุรกิจทิศทางใหม่มุ่ง Inclusive Growthในทุกมิติ ขณะที่กำไรไตรมาสที่ 2 ปีนี้ อยู่ที่ 6,568 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกกล่มธุรกิจ
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา OR ได้เข้าลงทุนและร่วมลงทุนในหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าลงทุนในบริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“KNEX”) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบอุตสาหกรรม รวมถึงประกอบกิจการร้านสะดวกซัก ภายใต้แบรนด์ Otteri Wash & dry รวมทั้งได้เข้าลงทุนใน บริษัท โพลาร์ แบร์ มิชชั่น จำกัด (“freshket”) ซึ่งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการระบบห่วงโซ่อุปทานด้านอาหาร (Food Supply Chain Service)
อีกทั้งยังได้ร่วมกับบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด (บุญรอดฯ) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่าย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรในแบบ inclusive growth ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งเน้นเติบโตในแบบ Outside-In โดยแสวงหาโอกาสการลงทุนในตลาดใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตร
นอกจากนี้ OR ยังพร้อมเปิดโอกาสให้ธุรกิจทุกประเภท ทุกขนาด เข้ามาสู่ระบบนิเวศทางธุรกิจของ OR เพื่อร่วมเติมเต็มศักยภาพและก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน พลิกโฉมตัวเองเป็น Inclusive Growth Platform เพื่อรองรับการเติบโตร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ โดยมีเป้าหมายในการสร้างผลเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การเติบโตทางธุรกิจเป็นการเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive กับผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2565 ภาพรวมผลการดำเนินงาน ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ เช่นเดียวกันกับด้านปริมาณขายก็ปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ อันเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ในไตรมาสนี้ OR รายได้ขายและบริการ และ กำไรสุทธิ จำนวน 211,431 ล้านบาท และ 6,568 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จำนวน 34,140 ล้านบาท และ 2,723 ล้านบาท ตามลำดับ