EXIM BANK : กลยุทธ์เพิ่ม SME X

โลกการค้ายุคใหม่ ที่ขาใหญ่ “บีบ” ให้ผู้ประกอบการต้องเลือกข้าง? บวกกับความเสี่ยงรอบด้าน, AI ที่รุกคืบเร็ว และ ESG ที่กลายเป็นเงื่อนไขการค้าใหม่ กดดัน SMEs ต้องเร่งปรับตัว ใครตามเกมไม่ทัน! อยู่ยาก??? ภารกิจใหม่ของ EXIM BANK จึงมุ่งปรับยุทธศาสตร์ เปลี่ยนจากช่วยเหลือแบบกว้าง ไปสู่การคัด SME คุณภาพ อัพเกรดเป็น “SME X” เพิ่มอีกเท่าตัว พร้อมปรับสัดส่วนสินเชื่อเข้มข้นขึ้น! โฟกัสกลุ่มส่งออกที่ไทยถนัด สร้างฐานทางรอด – แข่งขันได้ในระยะยาว

นับเป็นเวทีแรกอย่างเป็นทางการ? ของ นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เมื่อช่วงสายวานนี้ (17 ธ.ค.2568) ณ สำนักงานใหญ่ EXIM BANK

กับบริบท “เดี่ยวไมโครโฟน” ประเมิน…แนวโน้มส่งออกไทยในปี 2569 กับ บทบาทใหม่ ที่ถูก “โฟกัส” มากขึ้น ในฐานะ Export Co-pilot เคียงข้างผู้ประกอบการ SME ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ตลาดโลก

บนเวที…มีการอ้างถึงคำพูดของ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ว่าด้วย…ปัญหาใหญ่ของภาคส่งออกในวันนี้ ประกอบด้วย…

1. โลกการค้าที่เริ่มกลายเป็น “ตลาดเลือกข้าง” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

2. ภาวะความเสี่ยงสูงจากหลายปัจจัยที่ประดังเข้ามาพร้อมกัน

3. เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาเร็วจนผู้ประกอบการ SMEs ตามไม่ทัน

และ 4. ภาวะ ESG ที่มีทั้งโอกาสและอุปสรรค เพราะหากผู้ส่งออกทำไม่ได้ ก็อาจย้อนกลับมาเป็นความเสี่ยงต่อการส่งออกเอง

ข้างต้น…ได้กลายเป็น กรอบความคิดและแนวนโยบายของ EXIM BANK ในยุค Quick Big Win แล้วอาจลากยาวไปถึงยุค “คิดแล้วทำพลัส” ในอนาคตอันใกล้

ด้วยทุกฝ่ายต่าง เข้าใจตรงกัน! ในท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ไม่ใช่แค่ “ชะลอ” ตัวตามวัฏจักร หากแต่กำลังเปลี่ยน “กติกา” ของการค้าไปทั้งระบบ และเป็นเช่นนี้ไปทั่วโลก

ภาคส่งออกไทย…ถูกผลักเข้าไปอยู่ใน “สนามใหม่” ในเวทีโลกที่โหดขึ้น, ซับซ้อนขึ้น และไม่เป็นมิตรกับ “ผู้เล่นรายเล็ก” (SME) สักเท่าใด?

เกมการค้าและการส่งออกในวันนี้…จึงไม่ใช่แค่ “มีสินค้าแล้วรอออเดอร์” แต่เป็นการถูกบังคับให้ต้อง “จัดวางตัวเอง” ในโลกที่แบ่งขั้ว, เสี่ยงสูง และมีกฎกติกาใหม่…มา “บีบ” ให้ต้องเร่งปรับตัวอยู่ตลอดเวลา

เอ็มดี. EXIM BANK ขยายความว่า…ภาพใหญ่ของประเทศกำลังเผชิญความไม่แน่นอนสูง! ดังนั้น การทำงานของ EXIM BANK ในรอบปีข้างหน้า จะไม่มองเพียงการ “เร่งยอด” ด้วยตัวเลขเชิงปริมาณ แต่ต้องมองเป็นยุทธศาสตร์เพื่อพาผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการ SME ให้สามารถ “ยืนระยะ” ใน “สนามใหม่” ที่ว่านี้ ให้ได้เสียก่อน

พร้อมย้ำแนวคิดที่ ธนาคารฯต้องทำหน้าที่เป็นมากกว่า “ผู้ปล่อยสินเชื่อ” แต่ต้องเป็น “ผู้ช่วยนำทาง” ให้ธุรกิจส่งออกฝ่าความผันผวน ตั้งแต่เรื่อง ตลาด, ความเสี่ยง ไปจนถึงความเข้าใจ, ภาวะที่จะต้องอยู่ได้ดี และล้อไปกับ “กติกาใหม่” ในระดับโลก

ตัวเลขที่ EXIM BANK เปิดออกมา สะท้อนภาพเดียวกันอย่างชัดเจน ว่า…เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ได้ถูกประเมินและคาดการณ์แล้วว่า…น่าจะขยายตัวเพียงราว 2.1% ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มโตต่ำ อยู่ในกรอบ 0–2%

ความหมายเชิงยุทธศาสตร์ของตัวเลขนี้ ถอดความหมาย ได้ว่า…ต่อให้ “ตั้งเป้าโต” ก็ไม่ได้การันตีว่า…ตลาดโลกจะตอบรับเหมือนเดิม

EXIM BANK จึงเลือก “เดินเกม” แบบระมัดระวัง ยึดความจริงของโลกเป็นที่ตั้ง แล้วหันไปเน้นการ “ปรับโครงสร้าง” มากกว่าการมุ่งหวังในเชิง “ปริมาณ” ในปีที่มีความเสี่ยงสูง และความไม่แน่นอน…กลายเป็นเรื่องปกติใหม่

ภายใต้กรอบดำเนินการดังกล่าว EXIM BANK ได้วางเป้าการสนับสนุนมูลค่าการส่งออกปี 2569 ไว้ที่ 1.8 แสนล้านบาท “เท่ากับ” ปี 2568 ซึ่งดูเผิน ๆ อาจเหมือนตัวเลขไม่เติบโต???

แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ มันกลับสะท้อนว่า…EXIM BANK ไม่ได้เลือกเล่น “เกมโชว์ยอดตัวเลข” หากเลือกเล่นเกม “จัดทัพใหม่” โดยยอมรับข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้างที่ว่า…พอร์ตส่งออกของไทย ยังคงพึ่งพิง “กลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่” เป็นหลัก

ทั้งที่ พวกรายใหญ่มีเพียง 20% ของผู้ส่งออกไทยทั้งหมด 2.2 หมื่นราย แต่มูลค่าการส่งออกรวม กลับมีมากเกิน90% ขณะที่ ผู้ส่งออกกลุ่ม SME แม้มีสัดส่วนจำนวนสูงถึงราว 80% แต่กลับมีสัดส่วนมูลค่ารวมไม่ถึง 10%

นั่นก็หมายความว่า…SMEs จำนวนมากยัง “ไปไม่ถึง” การส่งออก…ในแบบที่สร้างมูลค่าได้จริง!!!

นี่คือจุดที่ นายชลัช ได้ส่งสัญญาณอย่างเด่นชัดว่า…EXIM BANK พร้อมจะปรับสัดส่วนสินเชื่อใหม่ โดย “เน้น SME X (SME ที่มีศักยภาพในการส่งออก) มากขึ้น”

แม้ เป้าหมายมูลค่าการส่งออกรวม…จะยังอยู่ระดับเดิม เพราะโจทย์ของธนาคารฯ ไม่ใช่แค่ทำให้ตัวเลขรวมสวย แต่ต้องทำให้โครงสร้างผู้ส่งออกไทยแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะ การสร้าง “ผู้ส่งออกคุณภาพ” ให้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

แนวคิด “SME X” จึงถูกยกระดับให้เป็น “แกนยุทธศาสตร์” ในทางปฏิบัติ ที่ไม่ใช่คำสวยหรูบนสไลด์

โดย EXIM BANK ระบุเป้าหมายว่า…จะเพิ่มจำนวน SME X จากปัจจุบัน 2,000 ราย เป็น 4,000 รายในปี 2569 และจะเพิ่มต่อเนื่อง “ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ภายใต้ข้อจำกัดเชิงทรัพยากรและความพร้อมของผู้ประกอบการจริงในตลาด

ประเด็นสำคัญคือ SME X ไม่ได้หมายถึง SME ทั่วไป แต่หมายถึง…กลุ่มที่มีคุณภาพ, มีศักยภาพเติบโตในตลาดต่างประเทศ และสำคัญที่สุด คือ “บริหารความเสี่ยงได้” ในโลกการค้าที่ผันผวนหนัก

หากย้อนกลับไปที่ 4 โจทย์ปัญหาใหญ่ ซึ่ง รองนายกฯเอกนิติ ชี้ไว้ในข้างต้น ก็จะเห็นว่า…SME X คือ ทางออก! ที่จะช่วยลดปัญหาใหม่ทั้งหลายเท่านั้น

ในโลกการค้าที่เริ่ม “แบ่งขั้ว” ผู้ประกอบการที่ยังพึ่งตลาดเดียว หรือซัพพลายเชนเดียว…จะมีความเสี่ยง! สูงขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้น การยกระดับเป็น SME X ของ EXIM BANK จึงหมายถึง “การยกระดับ” ความสามารถในการเลือกตลาด, วางตำแหน่งสินค้า และการสร้างความยืดหยุ่นในด้านซัพพลายเชน เพื่อหลบแรงบีบสถานการณ์…ต่อการจะต้อง “เลือกข้าง” ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ใน สภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงสูงรอบด้าน SME X จะต้องเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน และการจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบมากขึ้น เพื่อไม่ให้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่า, ความเสี่ยงในการชำระเงิน หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดทางภูมิรัฐศาสตร์ กลายเป็นเหตุให้ธุรกิจต้อง…สะดุด! หรือหยุดส่งออกไปทั้งสาย

ขณะที่ AI ซึ่งกำลังเปลี่ยนโลกการผลิต, การตลาด และการบริหารจัดการ ดังนั้น หาก SME ไทย จะยังยืนอยู่กับระบบเดิม ช่องว่าง “ผลิตภาพ” จะยิ่งถ่างออกจากรายใหญ่มากยิ่งขึ้น!!!

การคัดเลือกและปั้น SME X จึงตีความได้ว่า…EXIM BANK ต้องการผลักให้ผู้ประกอบการ ในกลุ่มที่ “พร้อมวิ่ง” สามารถใช้เทคโนโลยีเป็น “คันเร่ง” ไม่ใช่ถูกเทคโนโลยีทิ้งไว้ข้างหลัง

และ เมื่อ ESG ได้กลายเป็นอีกเงื่อนไขทางการค้าใหม่ จำเป็นที่ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ SME จะต้องเร่งปรับตัวให้เร็วขึ้น ใครไม่ปรับตัวหรือปรัวตัวได้ช้า…อาจถูก “ตัด” ออกจากตลาด หรือห่วงโซ่อุปทานในอนาคต

นั่นทำให้ “การเงินเพื่อความยั่งยืน” ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นกลไกป้องกันความเสี่ยงของการส่งออก…

จุดที่น่าสนใจ คือ EXIM BANK ไม่ได้เลือกปั้น SME X แบบสุ่ม แต่เลือกจะ “โฟกัส” ในกลุ่มที่ไทยมีความถนัด,  เชี่ยวชาญ และมีปริมาณส่งออกมากอยู่แล้ว เช่น สินค้าเกษตร, เกษตรแปรรูป, อาหารฮาลาล และสินค้า/บริการอื่น ๆ ฯลฯ ที่ไทยมีความสามารถแข่งขันในระดับโลกอยู่ก่อน

นี่คือ การ “เดินเกม” แบบ “เสริมจุดแข็ง!” มากกว่า…จะฝืนไปชนสนามแข่งขันที่ไทยเสียเปรียบ!!!

เพราะใน เชิงยุทธศาสตร์…การสร้าง “ผู้ส่งออกคุณภาพ” ในสาขาที่ไทยแข็งอยู่แล้ว จะทำให้การยกระดับมาตรฐาน, การทำความยั่งยืน และการขยายตลาด ทำได้จริงและเร็วกว่า รวมถึงมีโอกาสกลายเป็นมูลค่าการส่งออกที่ “จับต้องได้” มากกว่า

อีกด้านหนึ่ง EXIM BANK ยังประกาศความตั้งใจที่จะ “จับกลุ่ม” ผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนรวมราว 2.2 หมื่นรายในเครือข่ายของธนาคารฯ ซึ่งสะท้อนฐานงานที่ EXIM สะสมมาแล้วในภาคสนาม

แต่แทนที่จะพยายาม “ยกระดับ” ทุกคนไปพร้อมกัน ธนาคารฯเลือกจะใช้ “ยุทธศาสตร์” แบบมีลำดับขั้น นั่นคือ….สร้างคลื่นแรกของ SME X เพิ่มขึ้นอีก 2,000 รายก่อน แล้วค่อยขยายให้มากที่สุดเท่าที่ระบบจะรองรับได้

เหตุผลสำคัญ ก็คือ หากช่วยแบบเฉลี่ยทรัพยากร “กว้างแต่ไม่ลึก” สุดท้าย…อาจไม่ได้สร้างให้ “ผู้ส่งออกคุณภาพ” ที่ยืนระยะได้จริง! ในสนามการค้าของโลกที่ทำธุรกิจส่งออกได้ยากขึ้นทุกปี

ในภาพรวมการวางเป้าการสนับสนุนมูลค่าการส่งออกปี 2569 เท่าเดิมที่ 1.8 แสนล้านบาท จึงไม่ใช่สัญญาณการชะลอความทะเยอทะยาน แต่เป็นการยอมรับความจริงของโลกการค้า แล้วหันไปยกระดับ “คุณภาพของผู้ส่งออก” ให้เป็นแกนใหม่ของการแข่งขัน

นั่นเพราะ…ในโลกที่ถูกบีบให้ “เลือกข้าง” การดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง! ท่ามกลางสถานการณ์ที่ AI เร่งสปีดเกินศักยภาพมนุษย์บางกลุ่ม? จะตามทันได้ แถมยังต้องเผชิญกฎใหม่ของโลกจาก ESG ที่ได้ยกระดับเป็นกติกา บีบให้ทุกฝ่ายต้องปรัวตัวตามให้ทัน

ดังนั้น หากไทยยังหวังพึ่งเพียง “ผู้ส่งออกรายใหญ่” เพียงไม่กี่ราย? ก็อาจจะฉุดให้ภาคการส่งออกของไทย…จะยิ่ง “เปราะบาง” ในทุกครั้งที่เกิดแรงกระแทกใหม่ ๆ

การเพิ่ม SME X จาก 2,000 เป็น 4,000 ราย ผ่านกลยุทธ์…“Export Co-pilot เคียงข้างผู้ประกอบการ SME ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ตลาดโลก”

พร้อม ปรับสัดส่วนสินเชื่อ…มุ่งเน้นไปยัง “กลุ่มผู้ส่งออกคุณภาพ” มากขึ้น จึงสะท้อน…แผนยุทธศาสตร์ของ EXIM BANK ที่พยายามปั้น “ฐานผู้ส่งออกที่กระจายตัวและยั่งยืนกว่าเดิม”

โดยใช้ “จุดแข็ง!” ของไทย อย่าง…สินค้าเกษตร และอาหาร ทั้งที่อยู่ในและนอกกลุ่มสินค้าฮาลาล…เพื่อใช้เป็น “หัวหอก” ในภารกิจใหม่นับจากนี้ไป…

แล้วเปลี่ยนการส่งออกของไทย จากเกม “เอาตัวรอดรายปี” ไปสู่เกม “ยืนระยะระยะยาว” ในสนามการค้าโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password