กับดัก! ‘ฮุน ป่วย – หนู ป่วน?’


ปมข่าวลือ??? “ฮุน เซน…ป่วยหนัก!” ถึงขั้นติดต่อขอเข้ารักษาตัวในไทย อาจเป็น “ระเบิดทางการทูต!” ที่พร้อมปะทุ! ทุกเมื่อ สำหรับไทย…นี่ไม่ใช่แค่เรื่อง “มนุษยธรรม” แต่มันคือ “บททดสอบ” เชิงยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค ที่แตะทั้ง…อำนาจ การทูต และศักดิ์ศรีของชาติ การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว! อาจเปลี่ยน “สมดุลอำนาจ” ในอินโดจีนไปอีกนาน และไทยจะติด “กับดัก” เกมการเมืองระหว่างประเทศในรอบนี้หรือไม่???
นายฮุน เซน…ได้ชื่อว่าเป็นทั้ง…นักรบ เขมรแดง นายกรัฐมนตรี และประธานพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในกัมพูชา…ชาย “ผู้ยึดอำนาจ” ทางการเมืองมายาวนานกว่าสี่ทศวรรษ กำลังถูกจับตามองในฐานะ “อดีตผู้นำที่ยังไม่ยอมวางมือ”
การป่วยของเขา…ไม่ว่าจะหนักหรือเบา? จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มันคือ…สัญญาณทางการเมืองที่สะเทือนทั้ง…กรุงพนมเปญ กรุงเทพฯ และปักกิ่งไป พร้อมกัน
ข่าวซุบซิบที่ว่า…รัฐบาลสิงคโปร์ ปฏิเสธไม่ให้เข้ารักษา และอาจมีความพยายามขอเข้ามารักษาในไทย จึงกลายเป็น คำถามเชิงยุทธศาสตร์? ทันทีว่า…หากประเทศไทย “ยอมเปิดประตู” จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป???
มุมแรก…การรักษาผู้ป่วยต่างชาติ ระดับ “ผู้นำ” ดูเป็นเรื่องมนุษยธรรม ไม่ต่างจากการที่ไทยเคยเปิดโรงพยาบาลให้ “บุคคลสำคัญ” ทั่วโลกเข้ามารักษา
แต่กรณีของ นายฮุน เซน…ไม่ธรรมดา เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียง…อดีตนายกรัฐมนตรี หากยังเป็น ประธานวุฒิสภา และประธานพรรค CPP ซึ่งควบคุมกลไก “อำนาจ” ของกัมพูชา แทบทั้งหมด
การอนุญาตให้เขา…เข้ามารักษาในไทย จึงเท่ากับการยอมให้ “บุคคลที่ยังถืออำนาจจริง” เข้ามาอยู่ในเขตอธิปไตยของไทยโดยสมัครใจ ซึ่งต่างจากการ “เยือนอย่างเป็นทางการ” หรือ การประชุมระหว่างรัฐโดยสิ้นเชิง!!!
นั่นหมายความว่า…รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จะตกอยู่ใน “กับดัก” ทางยุทธศาสตร์ ระหว่าง 3 แรงกดดัน นั่นคือ…1) หลักมนุษยธรรมและการแพทย์ 2) ความมั่นคงแห่งรัฐ และ 3) ศักดิ์ศรีทางการเมืองภายในประเทศ
ด้านหนึ่ง ไทยย่อมถูกจับตามองจากนานาชาติ ว่า…จะปฏิบัติต่อ “ผู้นำต่างชาติ” ที่มีข้อครหาอย่างไร? ขณะเดียวกัน ภายในประเทศเอง คนไทยจำนวนไม่น้อย ยังคงฝังใจจากเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ที่มีผู้เสียชีวิต ทั้งพลเรือนและทหารจำนวนมาก จากการยิงปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชา
ความรู้สึกที่ผูกโยงไปถึง “คนสั่งยิงคนไทย” ยังไม่เลือนหายไปจาก จิตสำนึกของสังคมชายแดน ดังนั้น การรับตัว นายฮุน เซน เข้ามารักษาในไทย โดยไม่มีการชี้แจง อาจถูกมองว่า…เป็นการ “ลดทอน” ศักดิ์ศรีของชาติ อย่างร้ายแรง!!!
ในระดับภูมิรัฐศาสตร์, นายฮุน เซน คือ พันธมิตรเก่าแก่ของจีน และเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ที่ “รัฐบาลปักกิ่ง” ใช้ประคอง “อิทธิพล” ในคาบสมุทรอินโดจีน
ฉะนั้น การที่ไทยจะอนุญาตให้ “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของชาวกัมพูชา เข้ามารักษาตัวในประเทศ โดยไม่ปรึกษารัฐอื่น อาจถูกตีความได้ 2 ทาง…
หนึ่ง มองว่า…ไทยกำลัง “เปิดช่อง” ให้จีนมีอิทธิพลลึกในภูมิภาคผ่านกัมพูชา
และ สอง มองว่า…ไทยอาจพยายามเล่นบท “ตัวกลางใหม่” ระหว่างจีนกับอาเซียน เพื่อสร้างสมดุลทางผลประโยชน์
ทั้ง 2 ทาง…ต่างมีความเสี่ยงในตัวเอง หากเลือกผิดจังหวะ??? ไทยอาจสูญเสีย “ความเป็นกลาง” ที่สะสมมานานได้
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในกัมพูชาเอง ก็อยู่ในห้วงเปราะบาง? นายฮุน มาเนต ลูกชายของ นายฮุน เซน แม้ได้รับตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ต่อจากบิดา แต่ยังต้องพึ่งพา “เครือข่าย” ทั้งจาก…ทหารรุ่นเก่า และกลุ่มทุนภายในพรรค CPP ที่ยังภักดีต่อ นายฮุน เซน
การออกนอกประเทศของบิดา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล…สุขภาพ หรือ ภารกิจอื่น ย่อมส่งสัญญาณต่อ “ชนชั้นนำ” ภายในพรรค CPP ว่า…“ผู้นำตัวจริงกำลังอ่อนแรงจริง!”
นั่น…อาจจุดกระแส! การ “ปรับขั้วทางอำนาจ” ในกัมพูชาโดยตรง! และ ไทย…อาจกลายเป็นพื้นที่ที่กลุ่มการเมืองเหล่านั้น ใช้ “เจรจาลับ!” ต่อรองกัน เนื่องเพราะความสัมพันธ์ทางธุรกิจและเครือข่ายผลประโยชน์ข้ามแดน ระหว่างนักการเมือง 2 ฝั่งยังคงแน่นแฟ้น
ถ้า นายฮุน เซน เข้ามารักษาตัวในไทยจริง ไทยย่อมต้องเผชิญกับแรงกดดัน 3 ด้าน ไปพร้อมกัน!!!
ด้านแรก คือ แรงกดดันจาก “ภายในประเทศ” ที่มาจาก…ประชาชนและกลุ่มชาตินิยม ซึ่งอาจไม่ยอมรับให้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญเสียชีวิตของทหารและพลเรือนไทย ได้เข้ามาอยู่ในแผ่นดินโดยไม่ต้องรับผิดกับสิ่งที่ตัวเขาได้ทำไว้…
ด้านที่สอง คือ แรงกดดันจาก “ภาคประชาคมโลก” ที่จะตั้งคำถามว่า…ไทยจะยึดหลักมนุษยธรรม หรือหลักความยุติธรรมระหว่างประเทศ???
และ ด้านที่สาม คือ แรงกดดัน “ทางการเมืองภายในอาเซียน” ที่…ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ เวียดนามและสิงคโปร์ จะมอง…การตัดสินใจของไทย เป็นการ “วัดใจ” ว่า…ประเทศไทยอยู่ข้างใคร? ในสมรภูมิอำนาจระหว่างจีน–ตะวันตก!!!
ปม นายฮุน เซน ป่วย! แม้ดูเหมือนเป็นเรื่อง…การแพทย์??? แต่แท้จริงแล้ว มันคือ “สมรภูมิของสัญลักษณ์ทางการเมือง” ที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เพราะทุกการตัดสินใจของ รัฐบาลไทย จะถูก “ตีความ” เป็น…สัญญาณทางยุทธศาสตร์ ในทันที!
หากไทยยอมรับ…โดยอ้าง หลักการมนุษยธรรม ก็อาจถูกใช้เป็น…เครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้ “ผู้นำ” ที่ถูกวิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนมายาวนาน
แต่หากปฏิเสธ! ไทยก็เสี่ยงจะถูกมองว่า “ไร้น้ำใจ” ในสายตาประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งยังคงถือว่า…ไทยกับกัมพูชา คือ “เพื่อนร่วมชาติอุษาคเนย์” ที่ไม่ควรทอดทิ้งกันในยามคับขัน
ยิ่งไปกว่านั้น…ปฏิกิริยาของสังคมไทย ก็อาจจะรุนแรงเกินกว่าจะคาดคิดได้??? เพราะในยุคที่ “กระแสชาตินิยม” บนโลกออนไลน์…เคลื่อนไหวเร็วเพียงไม่กี่ชั่วโมง การปล่อยให้ข่าว “นายฮุน เซน รักษาตัวในไทย” หลุดออกมา โดยไม่มี…คำชี้แจง???
อาจกลายเป็น “ชนวนวิกฤตการเมือง” ในทันที!!!
ฝ่ายต่อต้าน…จะใช้วาทกรรม “ขายศักดิ์ศรีชาติ” ขณะที่ ฝ่ายสนับสนุนสิทธิมนุษยชน จะโต้กลับด้วย…เหตุผลทางมนุษยธรรม
เกิดเป็น “สงครามวาทกรรม” ที่จะทำลายสมดุลทางการเมืองของรัฐบาลเองได้อย่างเงียบๆ
ด้าน หน่วยความมั่นคงของไทย จะต้องประเมินสถานการณ์ในอีกมิติหนึ่ง นั่นคือ “ความปลอดภัยของบุคคลระดับสูงต่างชาติในดินแดนไทย” ซึ่งมีทั้ง…ปัจจัยข่าวกรอง การรักษาความลับ และความเสี่ยงจากการแทรกซึมของฝ่ายตรงข้ามในกัมพูชาเอง
หาก นายฮุน เซน ป่วยหนักจริง! ก็จะต้องมี…ทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่วนตัวเดินทางมาด้วย ซึ่งหมายถึง…ฝ่ายไทยได้อนุญาตให้ “กลุ่มอาวุธติดอำนาจทางการเมืองต่างชาติ” เข้ามาอยู่ในประเทศโดยพฤตินัย นั่นเอง
หากไทยบริหารความปลอดภัย! พลาดแม้เพียงเล็กน้อย ผลกระทบทางการทูต…จะรุนแรงในระดับภูมิภาค เลยทีเดียว!!!
ในทางกลับกัน ถ้าไทยใช้โอกาสนี้ อย่างมี…กลยุทธ์ อาจสามารถ “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส!” ได้เช่นกัน เพราะ…ไทยสามารถจะใช้ “การแพทย์เป็นเครื่องมือทางการทูต” (medical diplomacy) เหมือนเช่นที่ ทางการจีน เคยใช้ได้ผล กับกรณีการแพร่ระบาดของไวรัส“โควิด–19” เพื่อเป็นช่องทาง…สร้างอิทธิพลทาง “ซอฟต์พาวเวอร์”
ทั้งนี้ ไทยในฐานะ “ศูนย์กลางการแพทย์” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถแสดงบทบาท “รัฐมนุษยธรรม” ที่ให้การรักษา “ผู้นำ” ประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่เลือกข้างทางการเมือง
เพียงแต่จะต้อง…วางกรอบ “การสื่อสารทางการเมือง” ทั้งในและนอกประเทศ ให้ชัดเจนว่า…สิ่งนี้ ถือเป็นการช่วยเหลือในเชิง “มนุษยธรรม” ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางอำนาจ แต่อย่างใด???
ซึ่งหาก รัฐบาลไทย…สามารถจะสื่อสารได้ดี? ไทยก็อาจกลับมาได้รับ “เครดิต” ทางการทูต และภาพลักษณ์ความเป็น “รัฐผู้ไกล่เกลี่ย” อีกครั้ง!!!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อันตรายที่สุด! ของเรื่องนี้…ก็คือ “การขาดท่าทีที่ชัดเจน?” หาก รัฐบาลไทย นิ่งเฉย! ปล่อยให้ “ข่าวลือ” ขยายตัว…โดยไม่มีการ ยืนยันหรือปฏิเสธ!!!
ก็เท่ากับเป็นการ “เปิดพื้นที่” ให้กระแสสังคม…สร้างเรื่องปลอมแทนความจริง!!??
ซึ่งจะ “บั่นทอน” ทั้งความน่าเชื่อถือของรัฐไทย และเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ อย่างที่สุด!
ดังนั้น ไทยจึงควรมี “แผนการสื่อสาร” และ “จุดยืน” ที่แน่นอนตั้งแต่ต้น ไม่ว่า…จะเป็นการตัดสินใจรับหรือไม่รับ? ก็ตาม
ท้ายที่สุด! วิกฤตสุขภาพของ นายฮุน เซน อาจกลายเป็น “บททดสอบแรก” ของรัฐบาลไทย ทั้ง…ชุดปัจจุบัน และชุดใหม่ หลังเลือกตั้งต้นปีหน้า ว่า…จะสามารถ “บริหารสมดุล” ระหว่าง…มนุษยธรรม กับอธิปไตย ได้หรือไม่?
การเมืองในอินโดจีน ในทุกวันนี้ ไม่ได้วัดกันที่ “ปืนใหญ่” แต่แข่งกันที่ “การตีความอำนาจ” และ….ไทยจะต้องระวัง! ไม่ให้ “ความเมตตา” กลายเป็น “จุดอ่อน”
และไม่ให้ “ศักดิ์ศรี” กลายเป็น “อารมณ์” ของฝ่ายต่อต้าน...ที่ถูกแสดงออกมาจนเกินเหตุ?
เพราะใน…สนามการเมืองระหว่างประเทศ ทุกการเคลื่อนไหวของ “ผู้นำ” คือ…เกมหมากสำคัญ? ที่วัดกันด้วยความละเอียดของจิตวิทยา และสายตาทางยุทธศาสตร์ มากกว่า…ความรู้สึกของประชาชน
นายฮุน เซน อาจป่วย? แต่เกมการเมืองของกัมพูชา…ยังไม่จบ!!! และถ้า ไทย ใน “ยุครัฐบาลอนุทิน” ก้าวพลาด…เพียงก้าวเดียว ความเจ็บป่วยของ “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของชาวกัมพูชา ก็อาจกลายเป็น “ไวรัสทางการเมือง” ที่แพร่เข้ามาในระบบของไทยเองอย่างเงียบ ๆ
สุดท้าย…การเปิดรับรักษาอาการเจ็บป่วยของ นายฮุน เซน (หากเป็นจริง???) อาจทำให้ไทย และ “รัฐบาลหนู” ต้อง…“ติดกับดัก” ของเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็เป็นไปได้!!!.






