Re ‘Brand or Turn’???


การถอยของ “แพทองธาร” คือ จุดเปลี่ยนหรือเพียงการพักเกม? พรรคเพื่อไทยกำลังยกเครื่องจริง หรือแค่แต่งหน้าศพทางการเมือง ท่ามกลางเงาของ “ทักษิณ” ที่ยังไม่จาง? และบททดสอบครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษของพรรคสีแดง สุดท้ายนี่คือการ Rebrand หรือแค่รอวันของการ Return!!??
เพียงไม่นาน…หลังที่ภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ครอบครัวชินวัตร เดินทางเข้าเยี่ยม “คุณพ่อ” นายทักษิณ ชินวัตร ภายในเรือนจำกลางคลองเปรม ปรากฏออกสื่อ
ก็เกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ที่สั่นสะเทือนวงการอีกครั้ง! เมื่อเธอประกาศ “ขอลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย” อย่างเป็นทางการ
เหตุผลที่ระบุไว้ในจดหมายเปิดผนึกนั้น ฟังดูสุภาพและตรงไปตรงมา…เพื่อเปิดทางให้พรรคยกเครื่อง ปรับโครงสร้าง และวางแผนยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับอนาคตการเมืองไทย
แต่ในเชิงลึก!!! คำถามที่คาใจสังคมยังคงอยู่…นี่คือ การรีแบรนด์พรรคเพื่อไทยตามโรดแมปจริง หรือคือแรงบีบจากภายในและภายนอกที่ทำให้ตระกูลชินวัตรต้อง “ถอยชั่วคราว” เพื่อรักษาพรรคไว้ให้รอด
ก่อนจะถึงวันลาออก…ปรากฏการณ์ที่สร้างความสั่นคลอนภายในพรรคเพื่อไทย เริ่มชัดเจนมาก่อนแล้วในช่วงหลายเดือน
ทั้งการพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ซึ่งเคยเป็น “ฐานเสียง” สำคัญของเพื่อไทย
รวมถึงปรากฏการณ์ “งูเห่า” ที่โผล่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส.ส.ที่เคยสาบานภักดีต่อพรรคกลับโหวตสวนมติอย่างเปิดเผย กระทั่ง มีคำพูดติดปากในหมู่สมาชิกพรรคว่า…
“เลือดเพื่อไทยกำลังไหลไม่หยุด”
ล่าสุด! กับการประกาศลาออกของ “สมาชิกอาวุโส” อย่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรค ก็กลายเป็น ฟางเส้นสุดท้าย!!! ที่สะท้อน “รอยร้าวภายใน” อย่างปฏิเสธไม่ได้…
นายสมพงษ์ ไม่ใช่ใครอื่น??? เขาคือ อดีตหัวหน้าพรรค ที่เคยประคับประคอง “เรือใหญ่สีแดง” ให้รอดพ้นจากมรสุมมาแล้วหลายระลอก แต่การประกาศลาออกของเขา พร้อมคำพูดที่ว่า…“ถูกมองข้าม…ไม่เห็นหัว”
ได้กลายเป็น…สัญลักษณ์สำคัญของความไม่พอใจ!!! ในหมู่ “ผู้ใหญ่ภายในพรรคฯ” ต่อแนวทางการนำของ ทีมคนรุ่นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น…สายตรงตระกูลชินวัตร
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นว่า…การเปลี่ยนผ่านอำนาจภายในพรรคฯไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่ภาพลักษณ์ภายนอกพยายามนำเสนอ
ในเวลาเดียวกัน สถานะของ นายทักษิณ ในฐานะ “ผู้อยู่เบื้องหลัง” พรรคเพื่อไทย ก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ??? ภายหลังจากที่ ศาลฎีกา มีคำสั่งให้เข้าเรือนจำรับโทษ 1 ปี เต็มในคดีทุจริตช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แม้ก่อนหน้านี้ ตัวเขาจะได้รับ พระราชทานอภัยโทษลดโทษเหลือเพียง 1 ปี แต่การ ถูกจองจำจริงภายในเรือนจำกลางคลองเปรม ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างอำนาจที่เคยเชื่อมโยงระหว่าง “บ้านชินวัตร” กับพรรคเพื่อไทย!!??
ภาพที่…ลูกสาวเดินทางมาเยี่ยมบิดาในคุก ก่อนจะประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคไม่กี่วัน ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า…
นี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นจังหวะที่สะท้อนถึง “แรงบีบ” ทั้งทางการเมืองและทางอารมณ์ที่มาบรรจบกัน!!!
หากมองใน มิติยุทธศาสตร์…พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน???
นอกจาก กระแสตกจากการบริหารประเทศในช่วงสั้นของรัฐบาลที่ผ่านมา ยังต้องเผชิญ การตีตื้นของคู่แข่งสำคัญ อย่าง…พรรคภูมิใจไทยและพรรคก้าวไกล ซึ่งชนะใจคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นในสนามเลือกตั้งซ่อม
เสียงสะท้อนจากฐานรากของพรรคฯ ชี้ชัดว่า…“แบรนด์ชินวัตร” เริ่มเสื่อมมนต์ขลังในหลายพื้นที่
และนี้…ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการขยายฐานเสียง ในยุคที่ “คนรุ่นใหม่” เรียกร้องความโปร่งใสและความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น!!!
ดังนั้น การลาออกของ น.ส.แพทองธาร ในแง่หนึ่งอาจเป็น “การเสียสละเพื่อพรรคฯ” ตามที่เธอประกาศ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็อาจเป็น “การเสียสละเพื่อโครงสร้างอำนาจ” เพื่อตัดวงจรการโจมตีทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับครอบครัว
การถอยออกมาจากตำแหน่ง “ผู้นำพรรค” จึงเป็นทั้ง…การลดแรงกดดันจากภายนอก และ เปิดทางให้พรรครีแบรนด์ตัวเองใหม่ในสายตาประชาชน โดยไม่ต้องเผชิญกับ “เงาของนายทักษิณ” ซึ่งยังคงถูกจองจำอยู่
แต่คำถามที่ สังคมไทย สงสัยมากกว่าก็คือ…การรีแบรนด์ครั้งนี้ จะเป็น “ของจริง” หรือเป็นเพียง “กลยุทธ์ทางเวลา” เพื่อรอจังหวะให้เครือข่ายเดิมกลับมาทวงอำนาจในรูปแบบใหม่?
เพราะแม้เธอจะลาออก แต่ชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” ยังคงเป็น…แบรนด์การเมืองที่ทรงพลังที่สุดของพรรคเพื่อไทยในขณะนี้
ขณะที่บุคคลที่ถูกมองว่า…อาจขึ้นมาแทน ไม่ว่าจะเป็น คนเก่า-คนแก่ (ผู้มากประสบการณ์) หรือ แกนนำรุ่นกลางในพรรค ต่างก็มีข้อจำกัดในด้าน…อายุ พลัง และการเชื่อมโยงกับมวลชน
ดังนั้น จึงไม่แน่ว่า…การ “ยกเครื่องพรรค” ในครั้งนี้ จะเป็นเพียง การปรับโฉมเพื่อรักษาโครงสร้างเดิมไว้ หรือจะเป็นการ เปลี่ยนผู้นำจริง ๆ เพื่อเปลี่ยนวิถีของพรรคทั้งระบบ
สำหรับ อนาคตของพรรคเพื่อไทย เส้นทางข้างหน้า…ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การมี…เจ้าของพรรคติดคุก การพ่ายแพ้เกมเลือกตั้งซ่อม การสูญเสียแกนนำอาวุโส และปัญหาภายในที่ยังหาทางออกไม่ได้
ปัจจัยลบเหล่านี้ คือ “บททดสอบครั้งใหญ่!” ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ!!!
หาก พรรคเพื่อไทย…ไม่สามารถสร้าง “ผู้นำรุ่นใหม่” ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งภายในและภายนอกพรรคได้ทันเวลา
การ “รีแบรนด์” ก็อาจไม่ต่างจากการ “แต่งหน้าศพ” ทางการเมือง!!??
แต่หากพรรคเพื่อไทย…สามารถใช้จังหวะนี้ สร้าง “ผู้นำ” ที่มีพลังและเป็นอิสระจากเงาของครอบครัวคนตระกูลชินวัตร ได้…
พรรคเพื่อไทย…ก็อาจกลับมามีชีวิตอีกครั้งในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป!!!
สุดท้าย! คำตอบว่า…นี่คือ “การรีแบรนด์เพื่อไทย” หรือ “แรงบีบให้เปลี่ยนผู้นำ” อาจไม่ได้อยู่ที่ถ้อยแถลงของ น.ส.แพทองธาร หรือ มติของคณะกรรมการบริหารพรรค แสดงออกมา…
แต่อยู่ที่การกระทำของพรรคฯ หลังจากนี้ ว่า…พร้อมจะปล่อยให้ “คนรุ่นใหม่” ขึ้นนำจริง! หรือยังคงหมุนวนอยู่ในวงจรเดิม
วงจรที่…บ้านของคนในตระกูล “ชินวัตร” เป็นทั้งเจ้าของ ผู้นำ และเงา…ที่ไม่มีวันจางจากการเมืองไทย!!!.