พ่วงขจัด’ แก๊งออกญา!


ฝันร้ายของ “องค์กรสีดำข้ามชาติ” เมื่อ “โลกสีขาว” ร่วมพลังผนึกไล่ล่า “เงินสกปรก” จากธุรกิจสีเทาและดำ ที่ไม่ว่าจะซุกซ่อนเงินในรูปแบบใด? และฝังไว้ที่ไหน? ถึงที่สุด! ก็ไม่พ้นขบวนการไล่ล่าข้ามโลกอยู่ดี! รัฐบาลไทย ยุค “นายกฯอนุทิน” ไม่ควรละเลยโอกาสนี้ ร่วมขจัด “จีนเทา” และแก๊งออกญากัมพูชา ให้สิ้นไปจากแนวตะเข็บพรมแดนไทย!!!
เงินสกปรก จีนเทา ธุรกิจสีเท่าและสีดำ…
กลายเป็น “ภาพจำ” ที่โด่งดังไปทั่วโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่า…สิ่งนี้ มีทั้งความเป็นจริง และปฏิบัติการ “สร้างภาพจำ” ทำลายบางชนชาติ ให้ถูกตราหน้า…กลายเป็นตราบาป ตลอดไป!!!
ด้วยเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ???
แต่สำหรับ “จีนเทา” ภาพนี้…ได้ถูกตอกย้ำ! ซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ทั้งในเมืองไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกลายเป็น “ภาพจำ” ฝังหัวคนในภูมิภาคนี้ ไปแล้วว่า…
เงินสกปรก ธุรกิจสีเทา (ยังไม่ถึงกับดำ) และคนจีนเทา กลายเป็น “เส้นเรื่อง” เดียวกัน
ล่าสุด! กับแผนปฏิบัติการ…อายัดและยึด “บิตคอยน์” สะท้านโลก กับจำนวนบิตคอยน์รวมกว่า 1.27 แสนยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 แสนล้านบาท ที่ ทางการสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ได้ร่วมกันยึดเอาจากเครือข่ายสแกม/คอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานในกัมพูชา
ว่ากันว่า…เครือข่ายสแกม/คอลเซ็นเตอร์แห่งนี้ มี “นักธุรกิจเชื้อสายจีน” 2 สัญชาติ…อังกฤษและกัมพูชา คือ นายเฉิน จื้อ แห่ง Prince Golding Group ผู้มากคอนเน็กชั่น และมีสายสัมพันธ์อันดีสุดๆ กับ “ผู้นำแห่งตระกูลฮุน” ของกัมพูชา
ถึงขั้นยกให้เป็น “ออกญาเฉิน” ดีกรี…เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ นายฮุน เซน ในฐานะ ประธานวุฒิสภา และยังเป็น เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ นายฮุน มาเนต กับบทบาท นายกรัฐมนนตรี
“ออกญาเฉิน” หรือที่อังกฤษเรียกว่า “วินเซนต์” เคยได้รับการยกย่องจาก…หน่วยงานของรัฐบาลและสื่อหลักของกัมพูชา ให้เป็น “ชายผู้ใจบุญ” และพร้อมอุทิศตน เพื่อกิจการงานกุศลมากที่สุด…ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ
ความที่ตัวเขาเป็น…“นักธุรกิจเชื้อสายจีน” จึงตอกย้ำวลีข้างต้น…เงินสกปรก ธุรกิจสีเทา และคนจีนเทา
ไม่น่าแปลกใจ!!?? ทั้งที่ข่าวนี้ “โด่งดัง” ไปทั่วโลก แต่ท่าทีของ ทางการจีน กลับ “นิ่งเฉย!” เหมือนกำลังจะรอสัญญาณอะไรบางอย่าง???
หากกลุ่มประเทศที่ได้ชื่อว่า “ยืนในฝั่งตรงกันข้าม” กับรัฐบาลจีน อย่าง…สหรัฐฯ อังกฤษ และชาติตะวันตก จะหยุดปฏิบัติการอยู่แค่… “นักธุรกิจเชื้อสายจีน” และ แก๊งจีนเทา
ทางการจีน! ก็คงต้องเพิกเฉยต่อไป
แต่หาก “ฝั่งตรงข้าม” กินลึก! และเชื่อมโยงมาถึงปมที่ แก๊งจีนเทา…เกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เมื่อไหร่?
นั่นแหละ…โลกจะได้เห็นบทบาทอันร้อนแรงของ พญามังกร ก็คราวนี้…
คำถามที่โลกยังคงสงสัย? แผนปฏิบัติการ “ยึดบิตคอยน์” สะท้านโลก กว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ของทางการสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ มันเกิดขึ้นจริงหรือไม่? มูลค่ามันมากเพียงนั้นเลยหรือ? และการย้อนเกล็ด…ลากเอา “บิตคอยน์” ที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบอันลี้ลับ…มันทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
หรือทั้งหมด…มีความเป็นจริงแค่บางส่วน? ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด!!! ชาติตะวันตก…ทำไปเพื่อจะสร้างวลี “นักธุรกิจเชื้อสายจีน” และ จีนเทา
บนสมมติฐานที่มีความเป็นจริงมากกว่า!!! นั่นก็หมายความว่า…จากนี้ “ธุรกิจสีเทา…ดำ” แม้กระทั่ง “นักธุรกิจสีเทา” ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด? ก็ตาม นับต่อแต่นี้ไป…จะอยู่กันไม่ง่ายแล้วใช่ไหม???
และ การซุกซ่อน “เงินสกปรก” ที่เคยเกือบจะกลายเป็น “ปมปริศนา” อันยากจะหาคำตอบได้เจอนั้น…บัดนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
โลกไม่อาจปฏิเสธกับเคสท์ข้างต้น เพราะสิ่งนี้…ได้กลายเป็น “คดี” ที่สร้างแรงสั่นสะเทือน ต่อกระบวนการอิทธิพลและช่องว่างทางกฎหมาย ที่สัมพันธ์ในหลากหลายมิติ ทั้งทางอาญา เศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ และการเมืองภูมิภาค
หน่วยงานยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุชัดเจนว่า…ได้ยื่นฟ้องและดำเนินการยึดเงินดิจิทัลจำนวนมหาศาล ที่ถูกชี้ว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรม “ฉ้อโกงข้ามชาติ” พร้อมการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร จากทั้ง กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ร่วมกับมาตรการของสหราชอาณาจักร ในเวลาเดียวกัน
ถือเป็นการดำเนินการร่วมกัน ที่มีขนาดและมิติระดับที่ไม่ค่อยเห็นมาตรการเดียวกันนี้บ่อยนักในอดีต
การดำเนินการครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในสภาวะ “สุญญากาศ” หากแต่ล้อไปพร้อมกับข่าวที่สะเทือนใจและกดดันรัฐบาลในภูมิภาค…จากกรณี ผู้เสียหายจาก เกาหลีใต้ ที่ถูกหลอกลวง และบางรายถูกกักขัง หรือทำร้ายในค่ายสแกมในกัมพูชา บางรายถึงขั้น เสียชีวิต!!!
ปัจจัยเหล่านี้…กระตุ้นให้ “รัฐบาลกรุงโซล” ของเกาหลีใต้ ประกาศข้อจำกัดการเดินทาง (travel ban) ควบคู่กันไป…พวกเขายังได้สั่งส่ง “ทีมทูตและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย” เข้าไปประสานงาน เพื่อช่วยเหลือและนำพลเมืองชาวเกาหลีราว 80 ชีวิต…กลับประเทศ
มุมนี้…ยิ่งเพิ่มแรงกดดันระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว และกลายเป็น “จุดสนใจ” ของนานาชาติ มากยิ่งขึ้น!!!
ในมุมของภูมิรัฐศาสตร์ ผลกระทบยิ่งซับซ้อน เพราะการยึดทรัพย์ในระบบคริปโตหลายพันล้านดอลลาร์ และการอายัดทรัพย์สินอื่นๆ ในอังกฤษ ทำให้เห็นว่า… “เขตอำนาจที่เคยถูกมองว่าเป็นที่หลบภัย” สำหรับเงินสกปรก อาจถูกบีบให้แคบลง!!!
บทเรียนสำคัญ คือ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข่าวกรอง หน่วยงานด้านการเงิน และกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายการเงินดิจิทัล กับทรัพย์สินในโลกจริงได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
แน่นอนว่า…เทคโนโลยีการติดตามคริปโต (blockchain forensics) รวมกับ มาตรการทางการทูตและกฎหมาย กลายเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจในการทำลายโครงสร้างการฟอกเงินประเภทใหม่เหล่านี้ ได้จริง!
การอายัดและยึด “บิตคอยน์” มูลค่าราว 5 แสนล้านบาท สิ่งนี้….อาจเป็นการชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดและความเปราะบางของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ? เพราะถึงอย่างไร…การสืบค้นเส้นทางกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่เชื่อมโยงกับการฉ้อโกง จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว
ความเป็นสากลของ “บล็อกเชน” ได้กลายเป็น “ดาบสองคม” เปิดช่องให้ถูกตรวจสอบได้ง่ายเช่นกัน
แม้จะมี สัญญาณเชิงบวก ต่อระบบบังคับใช้กฎหมาย แต่การกำจัดเครือข่ายสแกม/คอลเซ็นเตอร์ในระดับโลกไม่ใช่เรื่องที่เสร็จสิ้นภายในชั่ววันเดียว โครงสร้างเหล่านี้มีความยืดหยุ่นสูง ใช้แรงงานจากหลายประเทศ และสามารถย้ายฐานปฏิบัติการหรือเปลี่ยนเทคนิคได้เร็ว
เครือข่ายมืดมักสร้าง “ชั้นกลาง” ของบริษัทหน้ากาก ตัวแทนจัดหางาน และบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นปฏิบัติการด้านการเงินเพื่อบดบังเส้นทางเงิน
หลายครั้งที่การฟอกเงินซับซ้อน จะผ่านบริษัทหลายประเทศและทรัพย์สินแบบออฟไลน์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ งานศิลป์ หรือสินทรัพย์ที่ยากต่อการติดตาม จึงยังมีช่องให้เงินสกปรกไหลผ่าน แม้ว่าการติดตามคริปโตจะดีขึ้นก็ตาม
แล้วอนาคตของ “เงินสกปรก จีนเทา ธุรกิจสีเท่าและสีดำ หรือที่ใครบางคนอาจเหมารวมว่าเป็น “ขบวนการสีเทา/ดำ” จะไปทางไหน???
เนื่องเพราะ…มีสัญญาณสำคัญหลายอย่างที่ควรจับตา
หนึ่ง…เครือข่ายจะพยายามกระจายความเสี่ยง? โดยย้ายฐานหรือใช้กลไก “ข้ามชาติหลายชั้น” มากขึ้น
สอง…จะมีการเปลี่ยนไปใช้สินทรัพย์ที่ยากจะติดตามมากกว่า เช่น สินค้าฟิสิคัลหรือตราสารซับซ้อน
สาม...จะมีการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เพื่อหาคนทำงานที่รู้จักเทคนิคการฟอกเงินขั้นสูง
และ สี่…เครือข่ายที่ใหญ่จริง อาจพยายามเข้าไปสร้างความสัมพันธ์กับ “ผู้มีอำนาจท้องถิ่น” เพื่อปกป้องการดำเนินงานตามมา
ซึ่งหาก ไม่สามารถ “ตัดตอน” เครือข่ายระดับฐานได้ มีแค่การปราบปรามเฉพาะ “ผู้บริหารระดับบน” คนกลุ่มนี้…ก็อาจเพียงแค่ย้ายเป้าหมายให้หายไปชั่วคราว แต่ไม่สามารถทำลายความสามารถเชิงโครงสร้างของกลุ่มได้ง่ายๆ
ทางออกเชิงนโยบายที่ได้ผล ต้องเป็นการบูรณาการหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น…การเพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในด้านเทคนิคและการสืบสวนคริปโต, การทำข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศให้รวดเร็วและมีผล, การเสริมความเข้มแข็งของกฎระเบียบต่อต้านการฟอกเงินทั้งในโลกคริปโตและการเงินดั้งเดิม
รวมถึง มาตรการป้องกันเชิงสาธารณะ เช่น การให้ความรู้แก่พลเมืองเกี่ยวกับกลวิธีสรรหาและการหลอกลวงออนไลน์ เพื่อดึงผู้คนออกจากเส้นทางอาชญากรรมตั้งแต่ต้นทาง
ทั้งหมดนี้ ต้องมาคู่กับการตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้ที่อาจตกเป็นเหยื่อ (victims) ไม่ใช่ถูกตราหน้าว่า…เป็นผู้กระทำความผิดโดยอัตโนมัติ
บทเรียนที่ชัดเจนจากเหตุการณ์ล่าสุด คือ โลกกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ “การซ่อนเงินแบบเดิม” ถูกบีบให้แคบลงอย่างเห็นได้ชัด
การยึดบิตคอยน์มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์และการอายัดทรัพย์สินในต่างประเทศ เป็นทั้งสัญลักษณ์และพยาน ว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐและเทคโนโลยีการสืบสวนสามารถทำให้เส้นทางเงินมืดถูกเปิดเผยได้รวดเร็วขึ้น แต่ก็ไม่อาจประกันได้ว่าจะกำจัดปัญหาได้หมดสิ้นทันที
เพราะ…เครือข่ายมืดมีความสามารถในการปรับตัวและซ่อนตัวในรูปแบบใหม่เสมอ!!!
ดังนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่การประกาศชัยชนะที่จบสิ้น! แต่เป็นการ “เริ่มต้น” ของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง “โลกสีขาว” ที่เพิ่มทักษะการติดตามและบังคับใช้กฎหมาย กับ “องค์กรสีดำ” ที่พยายามหนีและปรับตัวให้หลุดจากเงื้อมมือของกฎหมาย
ในภาพรวม เรื่องนี้…เป็น สัญญาณบวก สำหรับผู้ที่เชื่อในกฎระเบียบระหว่างประเทศ และความร่วมมือข้ามพรมแดน และมันก็ยังเป็น “คำเตือน” สำหรับประเทศที่ยังไม่เตรียมตัว…
ถ้าไม่ปรับระบบกฎหมาย การป้องกัน และการเฝ้าระวัง เทคโนโลยี และโครงสร้างทางการเงินใหม่ ประเทศเหล่านั้น…ก็อาจจะถูกใช้ในทางเลวร้ายต่อไป
ประเทศต่างๆ จึงต้องเลือกระหว่าง…การเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้ หรือเป็น “ที่หลบภัย” ให้กับผู้ที่กระทำผิด???
ทางเลือกนั้น อาจกำหนด “ชะตากรรมของรัฐ” ในเวทีระหว่างประเทศในอีกหลายปีข้างหน้า ดู…กัมพูชา เป็นตัวอย่าง!!??
สำหรับประเทศไทย ที่มีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์กับกัมพูชา มีการไหลของแรงงานและผู้คนระหว่างกัน ก็ไม่ต่างกันนัก??? ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รวมถึง หน่วยงานระดับสูงของไทย ด้แสดงความวิตก ถึงกรณี…เครือข่ายสแกม/คอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานในกัมพูชา ที่คุกคามและบ่อนทำลายคนไทยและเศรษฐกิจไทย
เช่นกัน…ในวันนี้ (16 ต.ค.) ระหว่างที่ นายกฯอนุทิน เดินทางไปเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ และมีโอกาสจะได้ต่อสายพูดคุยกับ “ประธานาธิบดีเกาหลีใต้” นายอี แจ-มยอง จากกรุงเวียงจันทน์ คงไม่พ้นเหตุผลต่อเนื่องจากกรณีข้างต้น…
แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานมาตรการช่วยเหลือผู้เสียหาย รวมถึง การตรวจสอบเส้นทางการหลอกลวงที่เชื่อมโยงกับไทย ทั้งในมิติการสรรหาคนเข้าทำงานออนไลน์ และการใช้เส้นทางข้ามพรมแดนเป็นทางผ่านของเครือข่ายมืด
ความร่วมมือระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ จึงเป็น “ตัวแปรใหม่” ที่อาจช่วยลดช่องว่างนี้
แต่อาจต้องแลกกับ การถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับ…การควบคุมการใช้งานออนไลน์และการตรวจคนเข้าเมือง! ที่เข้มงวดมากขึ้น จะมีตามมาหรือไม่???
นาทีนี้ รัฐบาลเกาหลี้ใต้ เอาจริง และได้จัดส่ง เจ้าหน้าที่ของพวกเขาเข้าไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกัมพูชา แล้ว แน่นอนว่า…ทางการสหรัฐฯและอังกฤษ ก็ไม่พลาดที่จะร่วมภารกิจนี้
หันมาดูฝ่ายไทย ซึ่งจะว่าไปแล้ว…เราก็น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับปรากฏการณ์…เครือข่ายสแกม/คอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งฐานในกัมพูชา มากกว่าชาติไหนๆ
จำเป็นอย่างยิ่งที่ รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นายกฯอนุทิน จะต้องถือโอกาสนี้ บูรณาการเข้ากับ 3 ชาติ “เกาหลีใต้ – สหรัฐฯ – อังกฤษ” ผนึกกำลัง…ขจัด! ขบวนการจีนเทา ที่ร่วมมือกับ เครือข่าย “ผู้นำกัมพูชา” ไม่ว่าจะเป็น…ออกญาลี ยงพัด และ/หรือ ออกญาก๊กอาน เปิดดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย ตามแนวพรมแดนไทย…เอากันให้สิ้นซากลงไปในคราวเดียว
คงไม่มีโอกาสไหนจะดีเท่ากับนาทีนี้อีกแล้ว!!!.