พาณิชย์ชี้! ‘ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์’ แรงรับเทรนด์โลก – แนะชู Thai Style มัดใจ/ชิงส่วนแบ่งตลาด ‘คนเสพคอนเทนต์’
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชู ‘ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์’ โอกาสที่ผู้ประกอบการไทยต้องรีบคว้าให้ทันตามเทรนด์โลก เผย! 3 ความท้าทายที่ต้องเผชิญ “เงินทุน – ความเชี่ยวชาญ/ค่าตัวนักออกแบบสูง – ตลาดไม่กว้าง”ย้ำ! เทคโนโลยีเติบโตก้าวกระโดด แนะนักออกแบบคอนเทนต์ไทย ผนึกกำลังบุกตลาดในและนอกประเทศ มั่นใจการชูภาพลักษณ์ Thai Style จะครองใจชาวโลก ระบุ! กลุ่ม e-Book ทำรายได้และกำไรดีสุด ขณะที่กลุ่มคาแรคเตอร์ก็น่าจับตามอง นักออกแบบไทยกำลังโดดเด่น สามารถต่อยอดรุกตลาดโลกได้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการวิเคราะห์ธุรกิจที่น่าจับตามองและชี้ช่องโอกาสทั้งตลาดในประเทศไทยและโลก เพื่อให้นักธุรกิจไทยสามารถนำช่องว่างไปต่อยอดทางธุรกิจไทยได้ โดยในครั้งนี้ พบว่า “ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์” กำลังเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อตลาดโลก เพราะได้ก้าวเข้าสู่ศตวรรษแห่งยุคดิจิทัล ที่รอบตัวเราเต็มไปด้วยเครื่องมือสารอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น Smart Phone, Smart TV, แท็บเล็ต หรือสื่อโฆษณาดิจิทัลก็ดี จะต้องได้รับการผลิตข้อมูลที่จะใส่ไปในเครื่องมือต่างๆ ที่ต้องใช้ทักษะความสามารถเฉพาะทางจากนักสร้างคอนเทนต์ (Digital Content Creator) นั่นเอง จึงเป็นที่มาของการเกิดธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ขึ้น
อธิบดีฯอรมน ย้ำว่า ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ในประเทศไทย แม้จะไม่ได้ดูหวือหวาเหมือนในตลาดต่างประเทศเพราะยังมีความท้าทายใน 3 ด้าน คือ 1) เงินทุน ที่เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจนี้เติบโตไปได้ โดยเฉพาะการจ้าง Content Creator ที่มีฝีมือดีที่มีค่าตัวที่สูง เครื่องมือที่ใช้ผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ อย่างอุปกรณ์ Hardware และ Software ที่ถือเป็นต้นทุนสูงทำให้ธุรกิจขนาดเล็กยังเข้าไม่ถึงมากนัก 2) บุคลากร สิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจนี้ นักออกแบบคอนเทนต์ของไทย ถือว่ามีความสามารถที่ดี แต่ยังขาดตลาดในประเทศที่ช่วยพัฒนาทักษะให้เติบโตขึ้น ทำให้นักออกแบบต้องออกไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่มีเวทีที่กว้างพอให้นักออกแบบกลุ่มนี้ได้มีโอกาสแสดงความสามารถและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในประเทศ และสุดท้าย 3) ตลาด ส่วนใหญ่ในประเทศไทย จะเป็นการส่งออกคอนเทนต์ไปยังต่างประเทศมากกว่าการบริโภคในประเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีพื้นที่อีกมากที่รอนักลงทุนไทยมาครองตลาดในปัจจุบันและอนาคต ประกอบกับภาครัฐได้เห็นความสำคัญของธุรกิจนี้ หลายหน่วยงานได้สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนผลักดันให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยการจัดงานแสดงศักยภาพต่างๆ พัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีในการผลิต การออกมาตรการช่วยเหลือที่สอดรับกับความต้องการของธุรกิจโดยตรง รวมถึง การส่งเสริม Thai Style ที่จะเป็นจุดแข็งสร้างความแตกต่างบนตลาดโลก สะท้อนวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างแดน
ทั้งนี้ จากข้อมูลนิติบุคคลในธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ (ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567) พบว่า มีจำนวนทั้งหมด 1,071 ราย ทุนจดทะเบียน 4,806 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทดังนี้ แอนิเมชั่น/ คาแรคเตอร์ จำนวน 299 ราย ทุนจดทะเบียน 1,464 ล้านบาท เกม จำนวน 257 ราย ทุนจดทะเบียน 1,217 ล้านบาท และ e-Book จำนวน 515 ราย ทุนจดทะเบียน 2,125 ล้านบาท โดยจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดมากที่สุด จำนวน 993 ราย หรือ 92% ทุนจดทะเบียน 4,211 ล้านบาท รองลงมาเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญ จำนวน 74 ราย ทุนจดทะเบียน 61.46 ล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 4 ราย ทุนจดทะเบียน 535 ล้านบาท ส่วนใหญ่จัดตั้งในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง และภาคเหนือ ตามลำดับ ด้าน การลงทุนจากชาวต่างชาติพบว่า มีมูลค่าการลงทุน 834 ล้านบาท แบ่งเป็น แอนิเมชั่น/ คาแรคเตอร์ 272 ล้านบาท เกม 422 ล้านบาท และ e-Book 139 ล้านบาท ประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 ลำดับแรกได้แก่ มาเลเซีย 172 ล้านบาท ญี่ปุ่น 146 ล้านบาท และฮ่องกง 117 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ในเชิงลึกจะพบว่า ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยประเภท e-Book (คิดเป็น 48% ของธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ทั้งหมด) เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงสามารถสร้างรายได้และกำไรได้ดีที่สุดต่อเนื่อง โดย ปี 2566 กลุ่ม e-Book มีมูลค่าอุตสาหกรรมอยู่ที่ 3,971 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการผลิตและบริโภคในประเทศ สร้างรายได้ 3,162 ล้านบาท กำไร 107 ล้านบาท ซึ่งเป็น การขยายตัวของธุรกิจรองรับอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ที่เปลี่ยนผ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์เข้าสู่โลกออนไลน์ และการปิดตัวของร้านหนังสือ ส่งผลให้ผู้คนเปลี่ยนจากการอ่านหนังสือเป็นเล่ม มาเป็นการอ่านผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกต่อการพกพาไปที่ต่างๆ และมีเนื้อหาที่หลากหลายเข้าถึงได้ง่ายตามความสนใจ
นอกจากนี้ กลุ่มคาแรคเตอร์ ก็เป็นที่น่าจับตามองเพราะ เริ่มมีนักออกแบบคาแรคเตอร์ชาวไทยที่สามารถสร้างผลงานให้เป็นที่รู้จักอย่าง Plaplatootoo ซึ่งได้รับไอเดียมาจากปลาทูแม่กลอง และบางรายยังสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศและยังเชื่อมโยงกับธุรกิจ Art Toy ที่กำลังเป็นกระแสนิยม กลุ่มคาแรคเตอร์ยังสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตสินค้า merchandise ประเภทต่างๆ ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น การสร้างคาแรคเตอร์ของ Butter Bear หรือหมีเนยที่เป็นจุดเริ่มต้นจากร้านขนมที่สื่อสารผ่านมาสคอตคาแรคเตอร์หมี จนเป็นที่โด่งดังและมีสินค้าที่เป็นตัวแทนของ Butter Bear ออกสู่ตลาดตามมา
“จากความท้าทายที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีโอกาสให้นักลงทุนไทยได้คว้าไว้ เมื่อรัฐบาลให้ความสำคัญกับธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์จะก่อให้เกิดความคึกคักและสถาบันทางการเงินก็จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ง่ายขึ้นจากเดิมที่ยังไม่เป็นที่น่าสนใจมากนัก ดังนั้น นักธุรกิจและผู้ที่อยู่ในสายงานออกแบบนี้จะต้องเร่งพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อให้ทันต่อการเติบโตของธุรกิจ เมื่อเกิดการแข่งขันกันมากขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตในหลายด้านลดลง ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กที่จะมีโอกาสมากขึ้น” อธิบดีฯ อรมน กล่าวทิ้งท้าย.