จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ ! ดีเดย์ 14 ส.ค. วันตัดสิน คดีถอดถอน ‘เศรษฐา’ ชี้จะตาประเทศไทย

ประธานกรรมการหอการค้าไทย -ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และ เลขาธิการ แอตต้า มองจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย! 14 ส.ค. วันตัดสิน ‘คดีนายกฯเศรษฐา’ ชี้จะตาประเทศ

คำตัดสินนี้ไม่เพียงส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง แต่ยังกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า กรณีที่ 1 ถ้านายเศรษฐา ได้บริหารประเทศต่อ รัฐบาลก็สามารถเดินหน้าต่อได้เต็มที่ เศรษฐกิจไทยจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทะยอยออกมา

โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการเคลื่อนเศรษฐกิจโดยในปีนี้เป้า 35-38 ล้านคนก็น่าจะเข้าเป้า ผนวกกับภาคการเกษตรราคาสินค้าต่างๆ ปรับดีขึ้นบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้ง ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 กลับมา ที่สำคัญคือความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ว่ารัฐบาลจะเดินหน้าตามนโยบายที่ได้แถลงไว้

ทำให้มั่นใจในประเทศไทย และเชื่อว่านายกฯและทีม ก็จะติดตามผลงานที่เดินหน้าเปิดความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ ในช่วงที่ผ่านมาให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น

กรณีที่ 2 หากมีความผิดแล้วต้องมีการเปลี่ยนจริงๆ ก็มองออกได้ 2 แบบ ที่ออกมา

แบบแรก
พรรคเพื่อไทยยังเป็นแกนนำรัฐบาลผสมต่อ ก็สามารถดำเนินการนโยบายที่แถลงและวางไว้ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือการวางตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ต้องปรับใหม่ จะเป็นคนที่เหมาะสมและได้รับการยอมรับอย่างไร คิดว่าไม่กระทบมาก แม้ว่าอาจจะใช้เวลาเพื่อแถลงนโยบายต่อสภาและประชาชน แต่เศรษฐกิจก็สามารถเดินหน้าต่อแบบไม่สะดุด

แบบที่สอง
ซึ่งไม่น่าจะเกิดก็คือสลับพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ก็จะต้องเดินหน้าจัดทัพและคนที่ดูแลแต่ละกระทรวงใหม่ ซึ่งเชื่อว่าประเทศต้องเดินหน้าต่อเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนโยบายต่างๆ เพื่อให้ก้าวพ้นช่วงเวลานี้ไปได้

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มองว่า หากนายเศรษฐารอด ไม่มีความผิด ได้บริหารประเทศต่อ นักลงทุนจะมีความมั่นใจต่อการลงทุน และการค้า เพราะนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล ยังสามารถดำเนินการต่อเนื่อง ตามที่ประกาศเอาไว้

แต่จะสร้างความมั่นใจได้มากแค่ไหนนั้น กรณีนี้ขึ้นกับผลการทำงานของนายกฯ และรัฐบาล โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน

กรณีที่นายเศรษฐาต้องพ้นสภาพนายกฯ ต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ และปรับคณะรัฐมนตรี กรณีนี้ถือว่าเลวร้ายสุด เมื่อเทียบกับกรณีแรก ทำให้นักลงทุน และนักธุรกิจในประเทศและต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น เพราะผู้นำประเทศและรัฐมนตรีเปลี่ยนกลางคัน “ไม่ต่างจากการยุบสภา”

การมีนายกฯ ใหม่ที่เป็นพรรคอื่น และมีคณะรัฐมนตรีใหม่ นักลงทุนจะรอดูท่าที และนโยบายว่าจะไปในทิศทางใด อย่างน้อย 3 เดือน แผนงาน โครงการต่างๆ ที่นายกฯ และรัฐมนตรีเดิมทำไว้ ถูกรื้อและปรับเปลี่ยนไป
กรณีนี้จะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเมือง ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจหนักขึ้น เพิ่มเติมจากการยุบพรรคก้าวไกลทีมีอยู่แล้ว ต่างประเทศจะยิ่งขาดความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทย ส่งผลต่อการไม่ทำมาค้าขาย และเข้ามาลงทุน ประเทศที่จะได้รับอานิสงคือ เวียดนามและอินโดนีเซีย

เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทั้งในประเทศและนอกประเทศที่ไม่ความไม่แน่นอนสูง ทำให้มีโอกาสสูงที่อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2567 ต่ำกว่า 2% เป็นปีสองติดต่อกัน อยู่ระหว่าง 1.5-1.9% การบริโภคและการลงทุน มีการขยายตัวต่ำ กว่า ปี 2566

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่าการตัดสินคดีนายก “เศรษฐา” ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 หากนายกฯรอด การเดินหน้าตามนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่วางแผน ก็จะสามารถขับเคลื่อนได้ตามที่วางไว้ ความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ จะกลับมาดีขึ้น ทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ ภาพลักษณ์ของรัฐบาล จะดีขึ้น และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ จะมีการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่ดีขึ้น

แต่ถ้าไม่รอดนโยบายที่วางไว้ คงหยุดชะงัก เพื่อต้องหา นายกรัฐมนตรีใหม่ นโยบายต่าง ๆ ที่วางแผน อาจมีความเปลี่ยนแปลงจาก ผู้บริหารชุดใหม่ ความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ คงต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ และ การประกาศทิศทางการทำงานอย่างเป็นทางการ เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ยากขึ้น จากการทำงานที่ไม่ต่อเนื่องในเชิงนโยบาย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password