แบ่งเขตใหม่ เขย่า! เกมการเมือง

(น้ำหนักเสียงที่เปลี่ยนไป: การแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ กับสมรภูมิยุทธศาสตร์ที่กำลังถูกจัดระเบียบใหม่)
การเมืองระทึก! หลัง กกต. ประกาศจำนวน ส.ส. ใหม่ กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อการจัดระเบียบอำนาจทางการเมืองรอบใหม่ การเพิ่ม–ลดเขตในหลายจังหวัด อาจทำให้ยุทธศาสตร์ของทุกพรรคต้องขยับครั้งใหญ่ ขณะที่ภาคเอกชนเริ่มก้าวขึ้นมาเป็นผู้จับตากติกา เรียกร้องความโปร่งใสของการเลือกตั้ง มันส่งสัญญาณว่า “หนึ่งเสียง” ของประชาชน อาจมีความหมายไม่เท่าเดิมอีกแล้ว
การเมืองไทย…กำลังเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง!!?? เมื่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตใหม่ จัดทำขึ้นบนพื้นฐานข้อมูลประชากร ณ สิ้นปี 2567
การประกาศดังกล่าว…อาจดูเป็นเพียงเรื่องเทคนิคของระบบเลือกตั้ง แต่แท้จริงแล้ว…มันคือ การขยับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองทั้งระบบอย่างเงียบ ๆ
และอาจส่งผลต่อยุทธศาสตร์พรรคการเมืองมากกว่าที่ประชาชนส่วนใหญ่จะคาดคิดได้???
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้…เกิดขึ้นในจังหวะที่สังคมไทย กำลังตั้งคำถามต่อ…คุณภาพกติกาและความโปร่งใสของกระบวนการเลือกตั้ง, หน่วยงานรัฐ, ภาคการเมือง และภาคเอกชน ที่ต่างเริ่มเห็นตรงกัน ว่า…
กระบวนการเลือกตั้งที่ดี! ไม่ใช่เพียงการแข่งขันตามกฎหมาย แต่เป็น…องคาพยพของความเชื่อมั่นต่อประชาธิปไตยทั้งระบบ!!!
เมื่อพิจารณา การขยับจำนวน ส.ส. รายจังหวัด จะพบภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือ…จังหวัดปทุมธานีและสมุทรสาคร มีจำนวน ส.ส. เพิ่มขึ้น ในขณะที่ นครศรีธรรมราชและลพบุรี กลับถูกลดจำนวนลง???
แม้ตัวเลขเหล่านี้ มาจาก “หลักคำนวณ” ที่ชัดเจนในทางกฎหมาย แต่ในทางการเมือง มันคือ “การจัดระเบียบอำนาจรอบใหม่” อย่างมิอาจปฏิเสธได้!!!
เขตที่ได้ ส.ส. เพิ่ม ย่อมกลายเป็น “พื้นที่เป้าหมายใหม่” ของพรรคการเมืองใหญ่ เขตที่ถูกลดจำนวน ส.ส. ย่อมกลายเป็น “สนามแข่งที่ดุเดือดและอ่อนไหว” ขึ้นกว่าเดิม
พรรคการเมืองต้องขยับ! ทั้งบุคลากร, กลยุทธ์หาเสียง และภาพรวมของการวางตัวผู้สมัครใหม่ทั้งหมด…
ความเคลื่อนไหวของตัวเลขประชากร จึงไม่เพียงสะท้อนโครงสร้างสังคม แต่สะท้อนความได้เปรียบเสียเปรียบเชิงอำนาจของแต่ละพรรคโดยตรง
ที่น่าสังเกตคือ การปรับเขตเลือกตั้ง…ไม่ได้มีความหมายเฉพาะเรื่องจำนวนผู้แทนเท่านั้น หากยังเปิดคำถามสำคัญว่า “หนึ่งเสียงของประชาชนมีค่าเท่ากันจริงหรือไม่”
แม้หลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญจะระบุจำนวนประชากรต่อ ส.ส. อย่างเท่าเทียมทั่วประเทศ แต่ในความเป็นจริง เขตเมืองใหญ่มีประชากรแฝงจำนวนมาก เขตปริมณฑลบางพื้นที่มีคนทำงานกลางวันมากกว่าประชากรตามทะเบียนบ้าน
ขณะที่ บางพื้นที่มีการย้ายทะเบียนเพื่อเกื้อหนุนการเมืองท้องถิ่นอย่างรู้กันดี
ดังนั้น น้ำหนักเสียงตามทะเบียนบ้าน…อาจไม่สะท้อนประชาชนตัวจริงในพื้นที่เสมอไป เกิดคำถามใหญ่ตามมาทันทีว่า… การแบ่งเขตครั้งนี้สะท้อนความเป็นธรรมทางการเมืองเพียงใด? และจะยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำด้านการเป็นตัวแทนหรือไม่?
พลวัตนี้…ย่อมส่งผลโดยตรงต่อ ยุทธศาสตร์ของพรรคการเมือง เขตที่ได้เพิ่มจำนวน ส.ส. กลายเป็น “พื้นที่เปิดเกม” ที่ทุกพรรคต้องแย่งชิงอย่างรุนแรง เขตที่ถูกลดจำนวน ส.ส. กลายเป็นพื้นที่ที่พรรคต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่
อดีตผู้สมัคร หรืออดีต ส.ส. อาจต้องย้ายเขต ย้ายฐานเสียง หรือแม้แต่ย้ายพรรค…
ขณะที่ เขตที่ถูกควบรวมมักรวมพื้นที่ที่มีลักษณะทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ผู้แทนต้องรับภาระเป็นตัวแทนของประชากรที่หลากหลายยิ่งขึ้น
สิ่งเหล่านี้…ทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้า อาจไม่ใช่การแข่งขันแบบเดิมที่รู้ผลล่วงหน้าหลวม ๆ อีกต่อไป
แต่เป็นการจัดทัพใหม่ของทุกพรรคอย่างแท้จริง!!!
ในขณะเดียวกัน ภาพอีกด้านหนึ่ง…ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ บทบาทของภาคเอกชน ซึ่งเริ่มออกมาแสดงจุดยืนต่อประเด็นความโปร่งใสของการเลือกตั้งมากขึ้น
โดยเฉพาะการที่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ร่วมมือกับ พรรคประชาธิปัตย์ รณรงค์ต่อต้านการทุจริตและเรียกร้องให้การเลือกตั้งเดินหน้า…ในกติกาที่เป็นธรรม!
การที่ องค์กรภาคเอกชน…ออกมาแสดงบทบาทเช่นนี้ สะท้อนความจริงที่วงการเศรษฐกิจรู้ดีว่า…ความไม่แน่นอนทางการเมือง คือ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยตรง!!??
เพราะหากการเลือกตั้ง…ถูกตั้งคำถาม? ความชอบธรรมของรัฐบาลที่จะมีตามมา…ย่อมสั่นคลอน! และเมื่อนโยบายไม่มีเสถียรภาพ ธุรกิจ…ก็จะไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้เลย
ในมุมที่กว้างกว่านั้น การที่ ภาคเอกชน กลายเป็นผู้เรียกร้องกติกาที่โปร่งใส ทำให้เห็นว่า…ความรับผิดชอบต่อประชาธิปไตย ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะนักการเมือง
แต่เป็น “ภาระร่วมกัน” ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนในสังคมไทย!!!
หากกระบวนการเลือกตั้ง คือ “จุดเริ่มต้น” ของสัญญาทางอำนาจระหว่างประชาชนและรัฐบาลใหม่
การที่มี…ผู้ตรวจสอบ ตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง ย่อมช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือของกระบวนการโดยรวม และทำให้รัฐบาลที่ได้รับชัยชนะมีความชอบธรรมมากขึ้นในสายตาประชาชนและตลาดโลก
ทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นภาพใหญ่ร่วมกันว่า…การแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ และการขยับตัวของภาคเอกชนไม่ได้เกิดขึ้นแบบแยกส่วน แต่เป็นกระบวนการที่ล้อกันอย่างใกล้ชิด!
การจัดสรรจำนวน ส.ส. ใหม่กำลังเปลี่ยนสมดุลอำนาจ ขณะที่ ภาคเอกชน กำลังพยายามรักษาความโปร่งใสของระบบ
การเมืองไทย…จึงไม่ได้เปลี่ยนเฉพาะตัวเลข แต่กำลังเปลี่ยนบทบาท หน้าที่ และความคาดหวังของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การเลือกตั้งครั้งหน้า…อาจจะไม่ใช่แค่ “ศึก” ของพรรคการเมือง แต่เป็นบททดสอบของทั้งระบบ ว่า…ประเทศไทยจะสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงกติกาได้อย่างเป็นธรรมแค่ไหน? และจะรักษาคุณค่าของ “หนึ่งเสียง” ไว้ได้เพียงใด?
ท้ายที่สุด! ประชาธิปไตย…ไม่ได้ยืนอยู่บนความพอดีของจำนวนเขตเลือกตั้ง หากยืนอยู่บนความเชื่อว่าทุกเสียงมีความหมายและมีน้ำหนักใกล้เคียงกันที่สุด!
การแบ่งเขตที่โปร่งใส, การตรวจสอบที่เข้มแข็ง และการตื่นตัวของประชาชนและภาคเอกชน คือ เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ความหมายนี้ ยังคงยืนหยัดอยู่ในระบบการเมืองไทย
หากการเลือกตั้งครั้งใหม่ สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนผ่านที่นำไปสู่…การเมืองคุณภาพ มากกว่าที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี!!!.






