พบกลโกง ‘21 เคสท์ร้องเรียน’ คนละครึ่งพลัส

“สคบ.” พบ 21 เรื่องร้องเรียนจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ส่วนใหญ่บวกราคา–เก็บภาษีเกินจริง สะท้อนพฤติกรรมเอาเปรียบผู้บริโภค ด้าน “สันติ” สั่งเดินหน้าคุ้มครองสิทธิประชาชน ลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศ พร้อมเอาผิดร้านค้าฝ่าฝืนเงื่อนไขโครงการ
นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า สคบ.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” รวมทั้งสิ้น 21 เรื่อง ผ่านสายด่วน 1166 และ 10 คู่สายประจำของ สคบ. รวมถึงจากการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กองคุ้มครองผู้บริโภคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม ถึง 3 พฤศจิกายน 2568
รายงานการตรวจสอบพบว่า พฤติกรรมการเอาเปรียบผู้บริโภคมีหลากหลายรูปแบบ โดย กลโกงที่พบมากที่สุด คือ การบวกเพิ่มราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จำนวน 4 เรื่อง และ การเก็บภาษีเพิ่มจากราคาสินค้าโดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภครับทราบ อีก 4 เรื่อง ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบสะท้อนถึงความไม่โปร่งใสของบางร้านค้า และอาจทำให้ประชาชนเสียสิทธิ์ในการใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐตามเงื่อนไขที่กำหนด
นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนกรณีอื่น ๆ อีกหลายประเภท เช่น การปรับขึ้นราคาสินค้าหลังเข้าร่วมโครงการ, ร้านค้าติดป้ายร่วมโครงการแต่ไม่สามารถสแกนจ่ายได้จริง, การจำหน่ายสินค้าเกินกว่าราคาตลาด, เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากราคาสินค้า, หักเงินจากยอดซื้อโดยไม่แจ้งลูกค้า, จัดโปรโมชั่นไม่เป็นจริง และการสแกนแล้วขึ้นข้อความ “อยู่ระหว่างดำเนินการ” ทั้งที่ร้านติดป้ายเข้าร่วม ซึ่งทั้งหมด ล้วนสร้างความสับสนและลดความเชื่อมั่นของประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ
นายสันติ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” มีเป้าหมายช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก หากปล่อยให้ร้านค้าฝ่าฝืนเงื่อนไข ย่อมกระทบต่อความยุติธรรมและความน่าเชื่อถือของมาตรการรัฐ จึงได้สั่งการให้ สคบ. เร่งดำเนินการใน 2 แนวทางหลัก คือ 1.จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ร้องเรียน เพื่อเก็บพยานหลักฐานและให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ผู้เสียหาย
และ 2.ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายกับร้านค้าที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของโครงการ ทั้งในฐานความผิดตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และ ความผิดทางแพ่งหรืออาญา หากพบว่ามีเจตนาทุจริตหรือฉ้อโกงประชาชน
รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สคบ. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเดินหน้าปรับมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคให้เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการตรวจสอบร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ชุมชน เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบหรือหลอกลวงผู้บริโภคซ้ำอีกในอนาคต
“ประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ควรตรวจสอบสถานะของร้านค้าให้แน่ชัดก่อนใช้สิทธิ์ สังเกตราคาสินค้าและเงื่อนไขการจ่ายเงินทุกครั้ง หากพบพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมหรือมีการบวกเพิ่มราคาโดยไม่ชี้แจง สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ผ่านสายด่วน สคบ. โทร. 1166 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอน” นายสันติ ย้ำ ก่อนจะทิ้งท้ายว่า…
รัฐบาลตั้งใจให้โครงการนี้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ช่องทางให้ผู้ประกอบการบางรายแสวงหากำไรเกินควร การร่วมมือกันของผู้บริโภคในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้โครงการดำเนินไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย.






