เส้นทางสีเทา

รัฐบาลไทย ต้องเร่งสร้าง 3 เกราะเหล็ก ทั้งเพื่อป้องกันตัวเองและสกัดกั้นความเป็นชาติ “ทางผ่าน” ของธุรกิจสีเทา…สแกมเมอร์ ค้ามนุษย์ ยาเสพติด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปลายเดือนตุลาคม 2568 ก่อนที่ เวทีการประชุมอาเซียนซัมมิต จะเปิดฉากขึ้น! ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ “เร่งกวาดล้าง” ศูนย์สแกมและเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติในหลายประเทศพร้อมกัน
ล่าสุด เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ หลังจาก รัฐบาลเมียนมา เปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ในบริเวณพื้นที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ “เคเคพาร์ค” เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น…ศูนย์สแกมที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในเมียนมา โดยฉากหน้า…ถูกสร้างเป็น คอมเพล็กซ์ใหญ่ ติดชายแดนไทย-เมียนมา
แต่ฉากหลัง มันคือ…ฐานทำ “ไซเบอร์สแกมและการค้ามนุษย์” โดยขบวนการอาชญากรรมสัญชาติจีน ที่มี กองกำลังกะเหรี่ยงพิทักษ์ชายแดน (BGF) เชื่อมโยงกับ กองทัพเมียนมา คอยคุ้มกันพื้นที่อยู่เดิม
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง แก๊งคอลเซ็นเตอร์/สแกมเมอร์ ในกัมพูชา ซึ่งถูกปราบปรามหนัก โดย ทางการเกาหลีใต้ ที่ยกทีมเข้ามาจัดการแบบสายฟ้าแลบ! ก็ยังไม่จบดี? เพราะยังมี ธุรกิจสีเทาจำนวนมาก ซุกซ่อนอยู่ในเมืองสำคัญ โดยเฉพาะ บริเวณแนวชายแดนไทย และในเมืองสีหนุวิลล์
มีกระแสข่าวในทำนอง…คนในขบวนการสีเทาจำนวนมาก ซ่อนเร้นตัวเอง…ย้ายอุปกรณ์โกงไซเบอร์ หลบไปซุกตัวใน สปป.ลาว ซึ่งที่นั่นเอง ก็มี…แก๊งคอลเซ็นเตอร์/สแกมเมอร์ มากอยู่ก่อนแล้ว
มีรายงานจาก สื่อตะวันตก ชี้ว่า…ใน สปป.ลาว โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ก็คือ… “ฐานเงา” ของขบวนการสีเทา นั่นเอง
ทั้ง 3 ประเทศที่มีพรมแดนติดไทย ต่างได้รับผลพวงของแรงกดดันของรัฐบาลจีน สหรัฐฯ และสังคมโลก บีบให้รัฐบาลของพวกเขาจำต้องแสดงบทบาทและสร้างผลงานการปราบปราบอย่างเป็นรูปธรรม
แต่ทว่า…วงจรอาชญากรรมไม่ได้หยุดหรือน้อยลง หากเพียงแต่พวกมันทำการย้ายฐาน ปรับรูปแบบ และหาช่องทางใหม่ในการเชื่อมต่อคน เงิน และเทคโนโลยี
และนั่น ทำให้ชื่อของ “ประเทศไทย” โดดเด่น! ขึ้นมาในสายตาของ “สื่อตะวันตก” และ “องค์กรระหว่างประเทศ” ในฐานะ…ประเทศที่เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็น “ทางผ่าน” ของอุตสาหกรรมมืด ที่กำลังขยายตัวอย่างน่าสะพรึงกลัว!!!
เมื่อ ทางการเมียนมา บุก “เคเคพาร์ค” มีผู้ถูกควบคุมตัวกว่าพันราย อุปกรณ์สื่อสารดาวเทียมถูกยึด และฝั่งไทยเอง…ก็ต้องแบกรับคลื่นคนหนีตาย ที่ข้ามแม่น้ำเมยจำนวนมาก เพื่อทำการ “คัดแยก” เหยื่อ ออกจากผู้ต้องหา
เหตุการณ์นี้ ทำให้เห็น “โซ่ตรวนยุคดิจิทัล” ที่เชื่อมประเทศต่าง ๆ เข้าด้วยกัน … โดยเฉพาะ ศูนย์สแกมในฝั่งเพื่อนบ้าน ที่ทุกแห่ง…สามารถจะขอรับการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานฝั่งไทย ทั้งไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต การเงินข้ามแดน และเส้นทางโลจิสติกส์
ขณะเดียวกัน ก็ใช้ไทยเป็น “จุดรับ-ส่งแรงงาน” ที่ถูกหลอกไปทำงานผิดกฎหมาย!!??
หลายกรณีจบลงด้วยการ ค้ามนุษย์ครบวงจร!!!
ยิ่งถูกปราบหนักที่หนึ่ง เครือข่ายก็ยิ่ง “ไหล” ไปอีกที่ และแทบทุกเส้นทางไหลผ่านไทย…ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม???
ก่อนหน้านี้…นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ได้ย้ำต่อสาธารณะว่า…เรื่องสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทาเป็น “วาระแห่งชาติ” ของรัฐบาล ที่จะต้องบูรณาการทุกหน่วยงานเพื่อจัดการขั้นเด็ดขาด!
สาวถึงใคร? ก็ให้จัดการในทันที!!! เป็นการฉายถึงทิศทางเชิงนโยบายที่ชัดเจนมากขึ้น…กว่าช่วงก่อนหน้า
การสื่อสารของ “ผู้นำไทย”… ชั้นแรก คือ การส่งสัญญาณ ว่า…รัฐบาลจะไม่ยอมให้ทรัพยากรของไทยถูกใช้พยุงศูนย์สแกมในประเทศเพื่อนบ้าน
พร้อมออกมาตรการยาแรง! เชิงโครงสร้าง…ตัดและจำกัดบริการไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต หรือเชื้อเพลิงในจุดที่มีการใช้งานเพื่อรองรับกิจกรรมผิดกฎหมายตามกรอบกฎหมายและความมั่นคงแห่งชาติ
ซึ่งประเทศไทย ได้เริ่มทำมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปี
ส่วนชั้นที่สอง คือ การ “ดักทาง” แทนการ “จับปลายทาง”
นายกฯอนุทิน พูดชัดว่า…หน่วยงานความมั่นคงและกำกับการเงิน จะต้องเดินให้นำหน้าขบวนการ โดยตั้ง ทีมเฉพาะกิจ บูรณาการ…ตำรวจ ปปง. DSI ดีอีเอส กอ.รมน. และหน่วยชายแดน เพื่อเชื่อมข่าวกรอง ขยายผลยึดทรัพย์ และไล่ปิดช่องทางดิจิทัล ไม่ปล่อยให้การบุกจับเพียงสร้างภาพแต่ไม่ตัดรากเหง้าทางการเงิน
ก่อนจะตอบคำถามที่ “สื่อตะวันตก” ชี้ว่า…“ไทยคือทางผ่านของธุรกิจสีเทา” โดยจย้ำหนักแน่นว่า…รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งเฉย และกำลังเร่งทำสองด้านควบคู่กัน
ด้านหนึ่ง คือ การประสานพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง กัมพูชา คือ ตัวอย่างของความร่วมมือข้างต้น โดยจะมีข้อตกลงร่วมหลายข้อ หนึ่งในนั้น คือ ความร่วมมือปราบสแกมข้ามชาติ
อีกด้านหนึ่ง คือ การยกระดับมาตรการในประเทศ ทั้งการคัดแยกเหยื่อและผู้ต้องหาให้ได้มาตรฐานสิทธิมนุษยชน และการสืบสวนดิจิทัลที่เก็บพยานหลักฐานตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้ามแดน รวมทั้ง กำชับให้มีการสื่อสารสาธารณะสม่ำเสมอเพื่อตัดไฟข่าวลวงที่มาพร้อมคลิป “ระเบิด-ไฟไหม้-ยิงปะทะ” ซึ่งมักถูกนำไป ขยายผลทางการเมืองและการค้า โดย…เครือข่ายที่เสียผลประโยชน์!!!
ภาพรวมทั้งหมดนี้ชี้ว่า…ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก “สร้างเกราะ” ใหม่ทั้งระบบ???
1.เกราะชั้นนอกสุด คือ การจัดระเบียบชายแดนแบบบูรณาการ ณ จุดวิกฤติอย่างแม่สอด ต้องมี ศูนย์คัดแยก-สืบสวนร่วมถาวร ที่รวม ตม. ตำรวจ ทหาร ปปง. พม. และล่ามมืออาชีพ ทำงานแบบ one stop ภายใน 24–48 ชั่วโมงแรก
ตั้งแต่…รับตัว บันทึกชีวมิติ ตรวจอุปกรณ์ดิจิทัล (มือถือ เราเตอร์ ดาวเทียม ซิมต่างชาติ ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต) ไปจนถึง คัดแยกว่า…ใครคือเหยื่อ ใครคือผู้ต้องหา และใครคือพยานที่ควรได้รับการคุ้มครอง
จุดนี้…ต้องสร้างมาตรฐานเดียวกันทั้งแนวชายแดน เพื่อไม่ให้เกิด “ด่านผ่อนปรน” ที่กลายเป็นแม่เหล็กดึงเครือข่ายกลับมาทดลองช่องโหว่เดิม
2.ชั้นกลาง คือ เกราะการเงินและดิจิทัล ต้องเร่ง “ปิดท่อเงิน” ที่หล่อเลี้ยงระบบสแกมในภูมิภาคอย่างจริงจัง
กำหนดการรายงาน ทรัพย์สินพกติดตัว ที่ด่านพรมแดน ตั้งแต่…ยอดที่เสี่ยงต่อการฟอกเงิน ตรวจ-อายัดคริปโตวอลเล็ตและบัญชีม้า
พร้อม เปิดปฏิบัติการยึดทรัพย์ดิจิทัลรวดเร็ว หากเชื่อมโยงกับหลักฐานจากเครื่องที่ยึดได้ ใช้การสืบย้อนธุรกรรมบนเชนและนอกเชนคู่กัน พร้อม ยกระดับการกำกับแพลตฟอร์ม P2P/OTC ที่เป็นจุดเปลี่ยนเงินสดสู่สินทรัพย์ดิจิทัล
สุดท้าย คือ ติดอาวุธข้อมูลให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการทางการเงินรู้จัก “ดีเอ็นเอของธุรกรรมสแกม” เพื่อคัดกรองเชิงรุก ไม่ใช่แค่รับแจ้งหลังความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว
และ 3.ชั้นในสุด คือ เกราะของความน่าเชื่อถือและการสื่อสารสาธารณะ “รัฐบาลอนุทิน” จะต้องรีบประกาศ “ตัวชี้วัด” รายเดือน ที่ประชาชนตรวจสอบได้ ยอดรับตัวและคัดแยกเหยื่อ ยอดดำเนินคดีผู้ต้องหา ยอดอายัดทรัพย์และคดีฟอกเงิน ยอดยุติการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ และยอดส่งกลับ/ส่งต่อประเทศต้นทาง ภายใต้มาตรฐานสิทธิมนุษยชน
เมื่อ “ความจริง!” ถูกสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ “วาทกรรมไทยเป็นทางผ่าน” จะถูกท้าทายด้วยตัวเลขและผลปฏิบัติการที่จับต้องได้
พร้อมกันนั้น “รัฐบาลอนุทิน” ยังจะต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชนและแพลตฟอร์มโซเชียลในการกดสแปม ลบบัญชีหลอกลวง และเตือนภัยรูปแบบใหม่ ๆ
เพราะ…ช่วงที่เครือข่าย “ย้ายฐาน” บัญชาการ ก็มักเกิด “โกยครั้งสุดท้าย” ทางออนไลน์เสมอ!!!
การสร้างเกราะทั้ง 3 ชั้น ไม่ใช่ภารกิจฝ่ายความมั่นคงฝ่ายเดียว แต่ต้องการเครื่องมือกฎหมายที่ทันสมัย
ดังนั้น นายกฯอนุทิน จึงควรผลักดัน “แพ็คเกจนิติบัญญัติ” เร่งด่วน!…
“อัปเดต” กฎหมายฟอกเงิน….ให้ครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลทุกรูปแบบ ปิดช่องว่างบัญชีม้า ยกระดับโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เอื้อประโยชน์เครือข่าย และกำหนดกรอบการใช้มาตรการ “ตัดบริการโครงสร้างพื้นฐาน” ให้มีหลักเกณฑ์ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงกับสิทธิขั้นพื้นฐาน
นอกจากนี้ ควรเร่ง MOU ข้ามพรมแดนแบบ “ข้อมูลมาก่อนตัวผู้ต้องสงสัย” ให้การแลก IMEI หมายเลขวอลเล็ต ลายนิ้วมือดิจิทัล และเส้นทางเงินเป็นเงื่อนไขก่อนการส่งกลับตัวบุคคล เพื่อต่อจิ๊กซอว์เครือข่ายทั้งห่วงโซ่ มิใช่จับรายคนแล้ววงจรอาชญากรรมยังเดินต่อ
สิ่งที่ท้าทายไม่น้อยไปกว่ากฎหมาย คือ มิติของมนุษยธรรม นั่นเพราะ…เหยื่อจำนวนมากที่หลั่งไหลข้ามแดนไม่ใช่ผู้ร้าย แต่เป็นแรงงานถูกหลอกและถูกบังคับให้ทำผิด?
การคัดแยกที่เร็วและแม่น จึงต้องจับมือกับ ระบบคุ้มครองพยานและเหยื่อที่ได้ผลจริง!
เปิด “ช่องปลอดภัย” ให้ “ผู้รอด” เป็น “ผู้ให้ข้อมูล” แลกกับการคุ้มครองชั่วคราวและการส่งกลับโดยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
แนวนโยบายแบบนี้…จะเปลี่ยนเหยื่อให้เป็นพันธมิตรสำคัญของรัฐ!!! ช่วยให้ไทยสืบย้อนไปถึง…ผู้บงการระดับบน และยึดทรัพย์ ได้มากกว่าที่เคย
ถึงที่สุดแล้ว…ข้อกล่าวหาว่า ไทยเป็น “ทางผ่านธุรกิจสีเทา” จะยังคงอยู่…ตราบใดที่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมี “จุดอ่อน” และขบวนการธุรกิจสีเทา…ยังคงสร้างกำไรในอัตราที่สูง!
แต่ประเทศไทย…สามารถเปลี่ยนบทบาทจาก “จุดเปราะบาง” เป็น “เกราะภูมิภาค” ได้ หากนโยบายที่ “นายกฯอนุทิน” ประกาศถูกผลักดันให้เกิดผลจริง!!??
ตั้งแต่…ปลายทางชายแดน กลางทางการเงิน จนถึงต้ นทางข่าวกรองและความร่วมมือระหว่างประเทศ
เวทีอาเซียนซัมมิต ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (26 ต.ค.2568) จึงไม่ใช่เพียง “จุดเช็คชื่อ” ทางการทูต หากเป็น “บททดสอบ” ว่า…ประเทศไทยสามารถยกระดับมาตรฐานความมั่นคงและธรรมาภิบาลให้เท่าทันอาชญากรรมยุคใหม่หรือไม่???
ถ้าทำได้…ประเทศไทยจะไม่เพียงปกป้องคนไทยจากภัยสแกม ค้ามนุษย์ และยาเสพติด แต่ยังช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของทั้งภูมิภาค เอื้อให้เศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยวเดินหน้าอย่างยั่งยืน!!!
ตรงกันข้าม??? หาก นโยบายหยุดอยู่ที่คำประกาศและปฏิบัติการแบบไฟไหม้ฟาง!!! กระทั่ง เครือข่ายจะย้ายฐานกลับมาทดสอบช่องโหว่เดิมอีกครั้ง…
ภาระของฝ่ายไทย ณ บริเวณด่านชายแดนและในโรงพักจะพอกพูน ความเชื่อมั่นจะสึกกร่อน และ ภาพ “ชาติทางผ่าน” จะยังคงติดตัวประเทศไทยต่อไป แลอาจจะเหนียวแน่นยิ่งกว่าเดิม
เวลานี้…จึงเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่หายาก??? เพราะแม้จะมีทั้ง…แรงกดดันจากภายนอก และฉันทามติภายในประเทศ ตรงกันว่า…“ต้องทำให้จริง!”
ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องใช้หน้าต่างนี้ เร่งสร้างเกราะทั้งสามชั้นให้ขึ้นรูปภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า พร้อม “ตัวชี้วัดรายเดือน” ที่ประชาชนตรวจสอบได้ เพื่อยืนยันว่า…การเปลี่ยนบทบาทจาก “จุดเปราะบาง” เป็น “แนวกันชน” นั้นกำลังเกิดขึ้นจริง!!??
ทั้งหมดนี้ คือ…ภารกิจของ “รัฐบาลอนุทิน” ที่ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่ง!!! ได้อีกต่อไป
เพราะใน สงครามอาชญากรรมข้ามชาติยุคดิจิทัล นั้น ผู้ที่ไม่ยกระดับตนเองให้เป็นเกราะ ย่อมเสี่ยงกลายเป็นสะพานของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว และมีราคาที่ต้องจ่ายในท้ายที่สุด!!??
ทั้งชีวิตศักดิ์ศรีของเหยื่อ ความเชื่อมั่นของประเทศ และความมั่นคงของภูมิภาค เหล่านี้…ย่อมสูงกว่าต้นทุนของการลงมือทำอย่างจริงจัง! ในวันนี้…อย่างเทียบกันไม่ได้
อย่าให้ข้อกล่าวหาของ “สื่อตะวันตก” ที่ชี้มายังประเทศไทย คือ “ผ่านทางธุรกิจสีเทา” เป็นจริง!!!.






