อยู่ต่อเลยได้ไหม???

หาก “รัฐบาลหนู”…จะขออยู่ (บริหารประเทศ) ต่อ! เหตุเพราะพวกเขามิอาจละทิ้งความรับผิดชอบอันพึงมีต่อปัญหาสุดวิกฤต! ของชาติบ้านเมืองและคนไทยได้ แล้ว…ประชาชน (พรรคการเมือง และคนไทย) จะว่าอย่างไร!!??
หาก “รัฐบาลอนุทิน” จะอยู่บริหารประเทศต่อไป…เกินกว่า 4 เดือน และ ไม่เป็นไปตามข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน สิ่งนี้…จะทำได้หรือไม่? เพราะสาเหตุใด? และผลกระทบที่จะมีตามมาคืออะไร?
เรื่องนี้ มีการตั้งข้อสังเกตจาก…อดีตนายทหารผู้คร่ำหวอดในกิจการชายแดน อย่าง “บิ๊กตี๋” พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีต ผอ.ช่อง 5 ปัจจุบันทำหน้าที่ “หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ” ที่ได้เปิดประเด็นปม…รัฐบาลอาจไม่สามารถยุติบทบาทของตัวเอง ภายในกรอบเวลา 4 เดือนได้ หากประเทศต้องเผชิญวิกฤตร้ายแรง และจำเป็นจะต้องมีรัฐบาล…คอยทำหน้าที่ประคับประคองสถานการณ์ ต่อไป
ก่อนหน้านี้…ทั้ง ประชาชน นักวิชาการ สื่อไทย และสื่อต่างประเทศ ต่างจับตามอง รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับสถานะความเป็น “รัฐบาล 4 เดือน” ที่มีเป้าหมาย…จะคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการยุบสภาฯ และจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในต้นปีหน้า
กระนั้น ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงเป็นพื้นที่อ่อนไหว ต่อเนื่องจากเหตุการณ์สู้รบที่ปะทุขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนทั้งสองฝั่ง
ความพยายามเจรจายุติการปะทะ แม้จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่บรรยากาศความไม่ไว้วางใจยังคงคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา รัฐบาลไทยเองได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่า…พร้อมเดินหน้าใช้มาตรการทางการทูต เพื่อลดกำลัง ลดอาวุธหนัก และสร้างพื้นที่ปลอดภัย
แต่ในทางปฏิบัติยังคงต้องใช้เวลาและการทำงานเชิงลึกกับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง!!!
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลก ก็เผชิญแรงสั่นสะเทือนจากปัจจัยภายนอก ทั้งจาก…ภัยสงครามภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางการเงินจากประเทศมหาอำนาจ…
สิ่งเหล่านี้…สร้างผลสะท้อนกลับมาที่เศรษฐกิจไทยโดยตรง โดยเฉพาะ…ด้านการส่งออก การท่องเที่ยว และเสถียรภาพทางการคลัง
ทั้งที่ องค์กรจัดอันดับเครดิต อย่าง Fitch Ratings เพิ่งจะปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยเป็น “Negative” ตอกย้ำแรงกดดันที่ รัฐบาลต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การส่งสัญญาณยุบสภาฯ ในจังหวะที่วิกฤตกำลังทวีความรุนแรง จึงอาจถูกมองว่า…เป็นการละทิ้งภาระและสร้างความไม่มั่นใจให้แก่ตลาดและประชาชน
มีนักวิชาการเศรษฐกิจและการเมือง หลายราย เสนอแนะไปในทิศทางเดียวกัน ว่า…แม้ “รัฐบาลอนุทิน” จะถูกกำหนดกรอบเวลา 4 เดือน แต่ก็ยังสามารถใช้ช่วงสั้น ๆ นี้สร้าง “ผลลัพธ์เร่งด่วน” หรือ Quick wins เพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นของสังคมและภาคธุรกิจ อาทิ การลดค่าครองชีพผ่านมาตรการช่วยเหลือพลังงาน การเร่งกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
และ เร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
หากรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงและผลงานที่จับต้องได้ ย่อมจะช่วยลดแรงกดดันและเพิ่มโอกาสในการขอเวลาเพิ่มเติมจากสังคม
นับเป็นความเปราะบางอย่างยิ่ง!!! เมื่อต้องแยกแยะระหว่างเส้นแบ่ง “ความจำเป็นแห่งวิกฤต” กับ “การยื้ออำนาจทางการเมือง”
หากรัฐบาลเลือกจะอยู่ต่อเกินกรอบ 4 เดือนตามข้อตกลงเดิม ย่อมต้องเผชิญแรงวิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายค้าน ภาคประชาสังคม และประชาชนจำนวนไม่น้อยทีเดียว
คนกลุ่มนี้…จะมองว่า รัฐบาลกำลังใช้วิกฤตเป็นข้ออ้างเพื่อรักษาเก้าอี้ มากกว่ามุ่งรับผิดชอบต่อปัญหาของชาติ
ดังนั้น เงื่อนไขสำคัญ หาก “รัฐบาลอนุทิน” จะอยู่ต่อ นั่นคือ…การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ชี้แจงเหตุผลต่อสาธารณชนอย่างตรงไปตรงมา และกำหนดกรอบเวลาใหม่ที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง
ในแง่…พันธสัญญาทางการเมือง! พรรคประชาชน ในฐานะคู่ สัญญาสำคัญ ของรัฐบาลนี้ ย่อมมีบทบาทชี้ขาดอย่างยิ่ง! หากถึงคราวที่จะต้องพิจารณาถึง “อนาคตของรัฐบาล” ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ
การชั่งน้ำหนัก ระหว่าง… “คำมั่นสัญญาเดิม” กับ “ความจำเป็นของประเทศชาติ”
หากบ้านเมืองยังอยู่ในภาวะปกติ! พรรคประชาชน คงไม่สามารถจะต่ออายุให้กับ “รัฐบาลอนุทิน” เพราะนั่นอาจถูกตีความว่า…เป็นการละเมิดข้อตกลงและหักหลังความไว้วางใจของประชาชน
ในทางกลับกัน! หากสถานการณ์รุนแรง…ถึงขั้นที่ประเทศไทยไม่สามารถขาดเสถียรภาพของรัฐบาลได้ จำเป็นที่พรรคประชาชน อาจเลือก “ยืดเวลา” ด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวด
ไม่ว่าจะเป็น…การบังคับให้ “รัฐบาลอนุทิน” จะต้องประกาศ Roadmap การแก้ปัญหาอย่างชัดเจน กำหนดวันยุบสภาใหม่ หรือแม้แต่เข้ามากำกับตรวจสอบการทำงานในสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างหลักประกันว่า การอยู่ต่อของรัฐบาลไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อรักษาอำนาจ แต่เป็นไปเพื่อบ้านเมืองจริง ๆ
กระนั้น ก็มี…เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน แตกออกเป็น 2 ฝ่าย???
ฝ่ายหนึ่ง…เรียกร้องให้รัฐบาลทำตามสัญญาเดิม ยุบสภาฯ และคืนอำนาจให้ประชาชนได้กำหนดอนาคตการเมืองด้วยมือของตนเอง
ขณะที่ อีกฝ่ายหนึ่ง…กลับมองว่า หากสถานการณ์ชายแดนหรือเศรษฐกิจยังสั่นคลอนอย่างหนัก รัฐบาลควรทำหน้าที่ต่อไปเพื่อคุมทิศทาง ไม่ปล่อยให้ประเทศเข้าสู่ภาวะไร้เสถียรภาพในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
เช่นกัน ก่อนหน้านี้ ก็มี…นักการเมืองอาวุโสและอดีตข้าราชการหลายราย ที่ต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล “ทำงานบนความรับผิดชอบ” มากกว่าการยึดติดกับกรอบเวลาเพียงอย่างเดียว
ท้ายที่สุด! การตัดสินใจว่า…จะอยู่ต่อ! หรือยุบสภาฯตามกำหนดของ MOA ย่อมขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจและความกล้าหาญทางการเมืองของ “รัฐบาลอนุทิน” ท่ามกลางสถานการณ์ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจริง!!!
หากสามารถแสดงผลงานที่พิสูจน์ได้ว่า…ประเทศต้องการเสถียรภาพต่อเนื่อง การอยู่ต่อก็อาจได้รับการยอมรับจากสังคม ในฐานะ “ผู้แบกรับภาระ” ให้กับประเทศไทยและคนไทย!
แต่ถ้า “รัฐบาลอนุทิน” ไม่สามารถจะสร้างความเชื่อมั่น หรือปล่อยให้ความคลุมเครือดำเนินต่อไป…
การยืดเวลา…อาจย้อนกลับมาเป็น “แรงเสียดทานทางการเมือง” ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ก็อาจเป็นไปได้
ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนเฝ้ารอ จึงไม่ใช่เพียงคำประกาศว่า…จะอยู่หรือไป!!!
แต่คือการแสดงให้เห็นจริง ๆ ว่า หาก “รัฐบาลอนุทิน…จะขออยู่ต่อ!!??” นั่นเพราะ…
พวกเขามิอาจจะละทิ้งภาระความรับผิดชอบ อันพึงต่อชาติบ้านเมืองและคนไทย ในภาวะที่ประเทศชาติกำลังประสบกับหลากหลายวิกฤติขั้นรุนแรงได้จริง ๆ
ทุกอย่างต้องเป็นจริง…ไม่ใช่เรื่องของเฟคนิวส์!!!.