มะเร็งการเงิน

หลากหลายปมฉ้อฉลทางเศรษฐกิจ ที่วันนี้…แก๊งมิจฉาชีพ ทั้งในและนอกประเทศ ต่างพัฒนา “นวัตโกง” กันแบบสุดล้ำ! เข้ากับยุคสมัยแห่งโลกดิจิทัลแบบสุดๆ จาก “บัญชีม้า” สู่ “ค้าทองคำ” แบบมีเลศนัย? ขยายถึงวลีใหม่ “มะเร็งการเงิน” ที่สุด! “รัฐบาล 4 เดือน” ของนายกฯอนุทิน จะรับมือและจัดการกลโกงเหล่านี้อย่างไร? ที่สำคัญการปัดฝุ่นโครงการคนละทิ้ง จะพลอยโดนหางเลขไปกับ “กลฉ้อฉลออนไลน์” รอบนี้…หรือไม่???

เรื่องใหญ่มาก!!!ที่แทรกการเมืองและโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยามนี้ นั่นคือปม “บัญชีม้า” ซึ่งถือเป็น “มหาวิกฤต” ที่พร้อมจะกัดกร่อนระบบการเงินไทยอย่างหนัก!!!

ขนาดถึงขั้นที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เหลืออายุงานแค่ 13 วัน (นับจากวันนี้) ยังถึงกับต้องออกมาประกาศกลางวงสาธารณะว่า…

บัญชีม้าไม่ต่างอะไรจาก “มะเร็งการเงิน” ที่ต้องรีบกำจัดทิ้ง ก่อนที่จะลุกลามไปทั้งร่างกายของระบบเศรษฐกิจ

หากปล่อยไว้ต่อไป…อาจทำลายระบบการเงิน ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน ทั้งยังอาจสร้างโอกาสให้การทุจริตทางการเงินดำเนินไปโดยไร้ขีดจำกัด???

การเปรียบเปรยเช่นนี้ สะท้อนชัดถึง “ความรุนแรง” ของปัญหาและการตัดสินใจใช้ “มาตรการที่เข้มข้น!”

เสมือนการทำ “เคมีบำบัด” ต่อร่างกายที่ป่วย แม้ว่า…ผลข้างเคียงจะรุนแรงและสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนผู้สุจริตจำนวนไม่น้อย

แต่ในมุมมองของผู้กำกับดูแลแล้ว หากไม่ทำตอนนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคตอาจใหญ่หลวงจนไม่สามารถประเมินค่าได้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การหลอกลวงออนไลน์ การฟอกเงิน และธุรกิจสีเทาข้ามแดน ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่…สังคมดิจิทัล!!!

บรรดา มิจฉาชีพ ต่างพัฒนา “รูปแบบการฉ้อฉล” ให้เข้ากับยุคสมัยแห่งโลกดิจิทัล ด้วยการใช้ “บัญชีม้า” เป็นเครื่องมือหลักในการหมุนเวียนและซ่อนเส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมาย จาก…บัญชีผู้เสียหาย ที่ถูกหลอก มักจะถูกบังคับให้โอนเงินไปยังบัญชีเหล่านี้ ก่อนถูกส่งต่อไปยังบัญชีอีกหลายชั้นหรือถูกแปลงเป็นสินทรัพย์รูปแบบต่าง ๆ

เช่น…เงินสกุลดิจิทัล สินค้าฟุ่มเฟือย หรือแม้แต่การซื้อขายทองคำ!!!

ผลลัพธ์คือ เจ้าหน้าที่รัฐตามเส้นทางเงินไม่ทัน

ขณะที่ ผู้บริสุทธิ์เจ้าของบัญชี ที่ถูกนำไปใช้โดยไม่รู้ตัว! กลับถูกดึงเข้าไปในกระบวนการสืบสวนและการอายัดบัญชีด้วย???

เมื่อ “ตำรวจไซเบอร์” และ “สถาบันการเงิน” ร่วมกันใช้มาตรการเข้มงวด! หวังระงับบัญชีที่ต้องสงสัย ผลที่ตามมาคือ…มีประชาชนจำนวนหนึ่งต้องถูกอายัดบัญชี ทั้งที่ไม่ได้มีเจตนาหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด

เช่น กรณีล่าสุด! ที่เด็กและเยาวชนถูกโอนเงินเข้ามาจำนวนหนึ่งแสนบาท ก่อนที่คนร้ายจะโทรอ้างว่า…โอนผิดแล้วให้โอนเงินกลับไปยังบัญชีที่จัดเตรียมไว้ ส่งผลให้บัญชีของเยาวชนเหล่านั้นถูกอายัดทันที จนต้องร้องเรียนเพื่อให้ปลดล็อก สร้างความตื่นตระหนกและไม่พอใจต่อสังคมในวงกว้าง

ปัญหานี้สะท้อนว่า…แม้ภาครัฐจะมีเจตนาดี แต่หากเครื่องมือที่ใช้ไม่ละเอียดพอ ผลกระทบก็ย่อมตกอยู่กับประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยตรง!!??

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่า…ที่ผ่านมาอาจมีความล่าช้าในการปลดอายัดบัญชี เนื่องจากต้องรอการตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเงินที่ซับซ้อน และเกิดจำนวนเคสมาก…จนงานค้างสะสม

อย่างไรก็ดี ช่วงกลางปี 2568 ธปท. และสมาคมธนาคารไทย ได้เริ่ม “ปรับเกณฑ์ใหม่” ให้ใช้…ระบบอัตโนมัติ ไล่เส้นเงินแทนการกรอกข้อมูลด้วยคน ทำให้สามารถแยกได้ชัดขึ้นว่า…บัญชีใดมีความเสี่ยงสูง บัญชีใดไม่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินจริง

พร้อมกันนั้น ยังเริ่มใช้ มาตรการ “อายัดบางส่วน” โดยล็อกเฉพาะยอดที่ต้องสงสัย ไม่ปิดทั้งบัญชี และตั้งเป้าปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ให้เร็วที่สุดภายใน 3–6 ชั่วโมงหลังตรวจสอบแล้วเสร็จ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เอง ก็ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยยอมรับว่า…มาตรการที่รุนแรงเช่นนี้ ได้สร้างภาระต่อประชาชนและผู้ประกอบการจริง!!!

แต่ก็เน้นย้ำว่า…รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินหน้าแก้ไขบัญชีม้า เพราะหากปล่อยไว้ เงินผิดกฎหมายจะยังคงไหลเวียนและบั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย

ดังนั้น นายอนุทิน จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนแบบเบ็ดเสร็จ” มี…สายด่วนกลาง และ เชื่อมข้อมูลกับธนาคารพาณิชย์และตำรวจไซเบอร์ เพื่อให้ “ผู้เดือดร้อน” สามารถยื่นเรื่องและตรวจสอบสถานการณ์ “ปลดล็อก” ได้โดยตรง

ลดปัญหาการถูกโยนความรับผิดชอบไปมา!!!

กับการปัดฝุ่น “โครงการคนละครึ่ง” ที่รัฐบาลเตรียมจะนำมาใช้อีกครั้ง ในเดือนตุลาคมนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า…แม้มาตรการเหล่านี้จะเข้มข้นเพียงใด ก็จะไม่กระทบกับโครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลอย่างแน่นอน!!!

“โครงการคนละครึ่ง…จะดำเนินการตามแผนโดยไม่สะดุด! เพราะได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งระบบการตรวจสอบบัญชี การยืนยันตัวตน และมาตรการป้องกันไม่ให้บัญชีม้า หรือบัญชีผิดกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง” นายอนุทิน ระบุและย้ำว่า…

โครงการดังกล่าว ยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นกำลังซื้อและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอนที่เกิดจากการปราบปรามธุรกรรมสีเทาและความผันผวนของค่าเงินบาท

พร้อมกับแสดงความเชื่อที่ว่า…หากสามารถทำให้ประชาชนมั่นใจว่า เงินสนับสนุนจากรัฐถึงมือจริง! และไม่ถูกขัดขวางด้วยปัญหาบัญชีม้า ความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจก็จะกลับคืนมาได้บางส่วน

ในทาง เศรษฐกิจมหภาค ปัญหา “บัญชีม้า” และ “การฟอกเงิน” ถูกนำมาเชื่อมโยงกับ “ธุรกิจสีเทา” และ “การส่งออกทองคำ” ที่พุ่งสูงผิดปกติ! ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568

โดยพบว่า…มีการส่งออกทองคำจากไทยไปกัมพูชา ราว 2.1 พันล้านดอลลาร์ (กว่า 70,000 ล้านบาท) คิดเป็น 1 ใน 4 ของการส่งออกทองคำทั้งหมด ราว 8,000 ล้านดอลลาร์ (2.54 แสนล้านบาท)

และการที่มี เงินดอลลาร์ไหลเข้ามาเพื่อซื้อทองคำในไทยก่อนส่งออก ทำให้เกิดแรงกดดันค่าเงินบาทแข็งสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจจริงที่ยังชะลอตัว

ดังนั้น หากไม่เร่งแก้ไข “มะเร็งการเงิน” แล้ว ปัญหานี้จะกลายเป็นแรงกดดัน 2 ชั้น ทั้งทำให้ “ผู้ส่งออก” สูญเสียรายได้ และทำให้ “ธุรกิจสีเทา” ยิ่งมีช่องทางฟอกเงิน ผ่านสินค้าโภคภัณฑ์ที่ถูกกฎหมาย!!??

การที่ “ผู้ว่าฯเศรษฐพุฒิ” เลือกใช้คำแรง ๆ ว่า “การอายัดบัญชี เหมือนการทำ…คีโม” เพื่อชี้ให้สังคมเข้าใจว่า…การรักษาระบบการเงินจำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่รุนแรงในระยะสั้น แม้จะมีผลข้างเคียงแต่ถ้าไม่ทำ ระบบอาจล่มทั้งโครงสร้าง???

อย่างไรก็ตาม ธปท. ก็ยืนยันว่า…จะไม่หยุดแค่การอายัด แต่จะพัฒนากระบวนการให้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางสื่อสารกับประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ท่ามกลาง ความกังวลใจของสังคมไทย นั้น นักวิชาการและภาคธุรกิจ ต่างเห็นตรงกัน พร้อมกับมีข้อเสนอที่ว่า…การแก้ปัญหาที่แท้จริง ต้องทำควบคู่ทั้งการปราบปรามและการป้องกัน!!!

โดยเฉพาะ การสร้างความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน…เพื่อให้ไม่ตกเป็นเหยื่อ การกำกับดูแลการเปิดบัญชีธนาคารอย่างเข้มงวดขึ้น เพื่อไม่ให้ถูกนำไปใช้เป็นบัญชีม้า และการใช้เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อจับสัญญาณธุรกรรมที่ผิดปกติได้แบบเรียลไทม์

ขณะเดียวกัน ยังเสนอให้มีการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ กัมพูชาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเงิน เพื่อปิดช่องว่างการฟอกเงินข้ามพรมแดน

สิ่งที่ชัดเจนที่สุด! ในเวลานี้ ก็คือ บัญชีม้าไม่ใช่แค่ปัญหาการโกงรายย่อย แต่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ!!!

ที่สำคัญ มันยังจะทำให้ “เงินผิดกฎหมาย” ไหลเวียนในระบบการเงิน สร้างต้นทุนมหาศาลแก่ธนาคารพาณิชย์และหน่วยงานรัฐ ในการกำกับดูแล ป้องกัน และแก้ไขปัญหา…

สิ่งสำคัญตามมา! ก็คือ มันทำให้ประชาชนผู้สุจริตต้องกลายเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว???

การเปรียบเทียบว่าเป็น “มะเร็งการเงิน” จึงไม่ใช่คำพูดเกินจริง!!! และการทำ “คีโม” ก็คือ…มาตรการรุนแรงที่สังคมอาจต้องยอมรับ!!??

แต่ในเวลาเดียวกัน ภาครัฐเอง…ก็มีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาวิธีการรักษาที่แม่นยำขึ้น เพื่อลดผลข้างเคียงและทำให้ผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องเจ็บปวดเกินความจำเป็น

ท่ามกลางแรงกดดันจากทุกด้าน! ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือ หากปล่อยให้บัญชีม้าแพร่กระจาย ระบบเศรษฐกิจไทยอาจเผชิญภาวะทรุดหนักยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งการลงทุน การส่งออก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอาจหดหาย

แต่ถ้าทุกฝ่าย ทั้ง…ภาคการเมือง ธนาคารกลาง หน่วยงานกำกับดูแล และภาคเอกชน ร่วมมือกันอย่างจริงจัง! ปรับมาตรการให้รัดกุมและเป็นธรรม พร้อมกับ เร่งสื่อสาร…ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง โปร่งใส และทันต่อเหตุการณ์จริง รวมถึง เร่งจัดทำมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ฯลฯ

ก็ยังพอจะมี โอกาสที่จะรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และป้องกันไม่ให้มะเร็งร้ายนี้ทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

แน่นอนว่า…การเดินหน้า โครงการคนละครึ่ง ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จึงนับว่าเป็นอีก “หนึ่งบททดสอบสำคัญ” ว่า…รัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการวิกฤตซ้อนวิกฤต “มะเร็งการเงิน” ได้หรือไม่? อย่างไร?

ระยะทางพิสูจน์ม้า…กาลเวลาพิสูจน์คน!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password