Framing

“เป็นนายกฯประเทศไทย” แผนยุทธศาสตร์ Framing หมายถึงการจัดกรอบความหมาย…ที่ต้องการสื่อสารในทางการเมือง เพื่อให้สังคมไทยได้เข้าใจตรงกัน! แต่ท้ายที่สุด…กับคำตอบของทุกข้อสงสัย “มันจะเป็นจริงหรือ???” อีกไม่ช้า…คนไทยจะได้เห็นจาก “ครม.อนุทิน” พ่วงพฤติกรรมปมสัมพันธ์…เขมร และ 2 คดีสำคัญ!!!

“เป็นนายกฯประเทศไทยนะครับ ไม่ใช่นายกฯประเทศอื่น เพราะฉะนั้นต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย ของคนไทย เป็นประเด็นหลักอยู่แล้ว…”

ประโยคสั้น ๆ ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ได้เปล่งออกมาในฐานะ “ผู้นำรัฐบาลไทย” ในห้วงเวลาที่สังคมไทยกำลังจับตาเรื่องการ “เปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา”

คำพูดประโยคนี้…ไม่เพียงเป็น คำอธิบายเชิงนโยบาย หากยังสะท้อน มิติทางการเมือง การสื่อสาร และการต่อสู้เชิงวาทกรรม ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า!!!

ภายใต้บรรยากาศที่ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกตีกรอบด้วยข้อสงสัยและการวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่อง การกล่าวถ้อยคำเช่นนี้…จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการประกาศตัวตนและวางจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจน

ในเชิง การสื่อสารทางการเมือง ประโยคดังกล่าวสะท้อนสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “การจัดกรอบความหมาย” หรือ Framing ซึ่ง “ผู้นำทางการเมือง” เลือกเน้นย้ำ “จุดยืน” บางประการ? เพื่อให้ประชาชนมองตนเองในกรอบความเข้าใจที่ต้องการ

ในกรณีนี้ เชื่อว่า นายอนุทิน คงคาดหวังว่า…ตนเองในฐานะ “ผู้นำของชาติ” คือ ผู้ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยโดยตรง ไม่ใช่ตัวแทนของต่างชาติหรือผู้เล่นที่ต้องแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับเพื่อนบ้าน!!!

การเน้นย้ำว่า…ตัวเขา “ไม่ใช่นายกฯประเทศอื่น” จึงเป็นการ สร้างเส้นแบ่งเชิงสัญลักษณ์ อย่างชัดเจนระหว่าง “เรา” กับ “เขา” หรือระหว่าง “ผลประโยชน์ของชาติ” กับ “ผลประโยชน์ของต่างชาติ”

บริบทที่ประโยคนี้ ถูกพูดออกมา คือ ความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนด้านกัมพูชา มีข่าวลือและแรงกดดันเรื่องการเปิดด่าน ซึ่งฝ่ายหนึ่งมองว่า…จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการค้าชายแดน แต่อีกฝ่ายกลับกังวลเรื่อง…ความมั่นคงและความเสี่ยงในการเสียดินแดน

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ถ้อยคำของ นายอนุทิน นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 32 จึงทำหน้าที่เสมือนเป็น “เกราะกำบังทางการเมือง” ที่ไม่เพียง…ปลอบประโลมความกังวลของประชาชนในพื้นที่ หากยัง ส่งสัญญาณทางการทูตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ว่า…

ประเทศไทยจะไม่ยอมเสียเปรียบหรือตกอยู่ในเงื่อนไขที่เสี่ยงต่อความมั่นคง อีกต่อไป

เมื่อเปรียบเทียบกับ “คู่แข่งทางการเมือง” ภาพที่แตกต่าง…ยิ่งเห็นเด่นชัด!!!

กรณี “คลิปเสียงหลุด” ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนก่อนหน้า… ที่เผยให้เห็นบทสนทนา ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า…แสดงออกถึงความไม่มั่นใจ หรือความอ่อนหัดทางการเมือง!!!

ภาพนั้น…ได้กลายเป็น “จุดอ่อน” ที่ถูกนำมาวิพากษ์ว่า…เธอยังไม่แข็งแรงพอจะเป็นผู้นำประเทศ

ภายใต้การ Framing ของสื่อและคู่แข่ง! ภาพของ น.ส.แพทองธาร จึงถูกตีกรอบไว้ในฐานะ…ผู้นำรุ่นใหม่ ที่ยัง “ไม่พร้อม”

ขณะที่ถ้อยคำของ นายอนุทิน กลับเลือกสร้างภาพตรงกันข้าม! คือ “แข็งกร้าว ชัดเจน และยืนหยัดปกป้องชาติ”

การเปรียบเทียบนี้…สะท้อนกลยุทธ์การสื่อสารทางการเมือง ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างในสายตาประชาชน

ในอีกด้านหนึ่ง กรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร และความสัมพันธ์กับ นายฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ก็เป็น อีกตัวอย่างหนึ่งของ Framing ที่ส่งผลกระทบยาวนาน

กับเรื่องที่ถูกพูดถึงในทำนองว่า…นายฮุน เซน “กำความลับ” ของนายทักษิณ???

รวมถึงประเด็นการเจรจา “แบ่งผลประโยชน์” ปิโตรเลียมในอ่าวไทยแบบ 50:50 ได้ถูกนำเสนอและตีความว่า…เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่อาจไม่เป็นธรรมต่อประเทศไทย!!??

แม้ ข้อเท็จจริงเชิงลึก จะมีหลายมิติ แต่การ Framing ดังกล่าว ก็ได้ “สร้างภาพจำ” ของ นายทักษิณ ในฐานะ ผู้นำที่ “ผูกพันกับต่างชาติ” หรือ “พร้อมยอมเสียประโยชน์บางส่วน” เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตน หรือทางการเมือง!!??

เมื่อเปรียบเทียบกับคำพูดของ นายอนุทิน จะเห็นได้ว่า…ประโยค “เป็นนายกฯประเทศไทย ไม่ใช่นายกฯประเทศอื่น” จึงเป็นความพยายาม “ตัดขาด” ภาพลักษณ์ที่เคยเกาะติดคู่แข่งรายสำคัญ อย่างชัดเจน

ในเชิง ทฤษฎีการสื่อสารการเมือง ถ้อยคำเช่นนี้ จัดอยู่ในกลุ่มวาทกรรม “ชาตินิยมเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Nationalist Rhetoric) ที่มุ่งเน้น…การสร้างความชอบธรรม ให้แก่ “ผู้นำ” โดยยึดเอา ความเป็นชาติและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง

การใช้ กรอบ In-group และ Out-group ถูกนำมาใช้ชัดเจน???

In-group คือ “คนไทย” ที่นายกรัฐมนตรีต้องปกป้อง ส่วน Out-group คือ “ประเทศอื่น” ที่ไม่ใช่หน้าที่จะต้องเอาใจหรือรับผิดชอบ!

การสร้าง “เส้นแบ่ง” เช่นนี้ ได้ช่วยตอกย้ำ…ถึง ความชอบธรรมของการดำรงตำแหน่ง “ผู้นำสูงสุด” ของประเทศ และทำให้ถ้อยคำดังกล่าว มี “พลังในทางการเมือง” มากกว่าการให้สัมภาษณ์ทั่วไป

ผลในทางการเมืองของการสื่อสารเช่นนี้ มี 2 ด้าน ด้านหนึ่ง…คือ การสร้างความมั่นใจและความนิยมในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่กังวลเรื่องการสูญเสียอธิปไตยหรือผลประโยชน์ชาติ

คำพูดของ นายอนุทิน ตอบโจทย์ความรู้สึกเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา!

อีกด้านหนึ่ง…คือ ความเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นเพียงวาทกรรมประชานิยมที่ใช้ชาตินิยมเป็นเครื่องมือ หากการดำเนินนโยบายจริง ยังต้องพึ่งพาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น จีนหรือสหรัฐฯ

ประชาชนอาจตั้งคำถามตามได้ว่า…คำพูดดังกล่าวสามารถกลายเป็นนโยบายที่จับต้องได้จริงหรือไม่???

กระนั้นก็ตาม เมื่อมองใน กรอบการเมืองเชิงเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่า…ถ้อยคำของ นายอนุทิน ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วงชิงพื้นที่วาทกรรมทางการเมือง

ในขณะที่ คู่แข่งถูก Framing ให้มีภาพลักษณ์เชิงลบ ทั้งในแง่ “อ่อนหัด” ของ น.ส.แพทองธาร และ “ผูกพันผลประโยชน์ต่างชาติ” ของนายทักษิณ

แต่ นายอนุทิน กลับเลือก Framing ตัวเองในฐานะ “ผู้นำที่อิสระและยึดผลประโยชน์ชาติ”

เมื่อนำเรื่องราวเหล่านี้ มาประกอบเข้ากับ…สถานการณ์ชายแดนที่อ่อนไหวทางอารมณ์และภัยด้านความมั่นคงของชาติ แล้ว การประกาศตนว่า…“เป็นนายกฯประเทศไทย”

มันจึงมีน้ำหนัก…ทั้งเชิงสัญลักษณ์และเชิงการเมือง!!!

ท้ายที่สุด วลีที่ว่า “เป็นนายกฯประเทศไทย” ไม่เพียงเป็นคำบอกเล่าของ “ผู้นำ” แต่มันคือ…ยุทธศาสตร์แห่งการสื่อสารเชิงกลยุทธ์…ที่สอดรับกับความคาดหวังของสังคมไทยในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยข้อกังขา ความไม่ไว้วางใจ และความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

พูดได้ว่า…คำประกาศกร้าวของ นายอนุทิน มิต่างจากการประกาศถึงความเป็น “เจ้าของอำนาจอธิปไตย” ในเชิงสัญลักษณ์ และเป็นการสร้างกรอบ “การรับรู้ใหม่” ที่ท้าทายต่อภาพจำของ “ผู้นำ” คนก่อน ๆ ที่มักถูกโยงกับ…ต่างชาติและผลประโยชน์ส่วนตน

ในโลกการเมือง…ที่การรับรู้ของสาธารณชนได้ถูกกำหนดด้วย…ภาษาพูดและภาษากายของคนเป็น “ผู้นำ

ดังนั้น การ Framing จึงมีคุณค่ามากพอ ๆ กับข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด!!!

คำพูดสั้น ๆ เพียงประโยคเดียว จึงอาจ…เปลี่ยนทิศทางการเมืองได้ไม่น้อยไปกว่าการตัดสินใจเชิงนโยบาย???

และประโยคของ นายอนุทิน ที่ว่า “เป็นนายกฯประเทศไทย ไม่ใช่นายกฯประเทศอื่น” ก็อาจเป็นหนึ่งในถ้อยคำที่จะถูกจดจำในฐานะ “จุดหักเห!” สำคัญของการสื่อสารทางการเมืองไทยในยุคปัจจุบัน

กระนั้น ในท่ามกลางโลกมายา การแสดงออกที่ปรากฏให้เห็น…จึงอาจมิใช่ภาพความเป็นจริงเสมอไป???

การประกาศให้ได้ยินไปทั่วโลกในทำนอง… “(ข้า) เป็นนายกฯประเทศไทย…” ในท่ามกลางข้อสงสัยมากมาย??? โดยเฉพาะ การแต่งตั้ง 2 รมต.คนสำคัญ “ยุติธรรม – คมนาคม” ซึ่งถูกนำไปผูกโยงอยู่กับ 2 คดีความใหญ่ ทั้งปม “ฮั้วเลือกตั้ง สว.” และ “ที่ดินเขากระโดง” และเกี่ยวพันโดยตรงกับทั้ง นายอนุทิน และ พรรคภูมิใจไทย

สุดท้าย…คำพูดข้างต้น จะทำได้จริงแค่ไหน? และ ผลพวงการจัดตั้ง “ครม.อนุทิน” ะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผูกกล่าวหาใน 2 คดีข้างต้นหรือไม่? อย่างไร?

คนไทย…นับวันพิสูจน์ได้เลย!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password