ตายไป! เกิดเป็นเขมร!!??

หลักฐานเชิงประจักษ์จาก “โทรศัพท์มือถือ” ของทหารเขมร ขณะกำลังฝังทุ่น PMN-2 ในเขตภูมะเขือ! ชัดเจนขนาดนี้ แต่คนชาติพันธุ์นี้…ก็ไม่คิดจะจำนน ยังคงแถ! แบบเอาสีข้างเข้าถูกต่อไป พฤติกรรมเยี่ยงนี้ สอดรับกับคำโบราณไทยที่ได้กล่าวเอาไว้….
ตายไป…ชาติหน้า ระวัง! จะไปเกิดเป็นพวกเขมร???
คำเตือนที่ “คนโบราณ” เฝ้าพร่ำสอนลูกหลานกันมายาวนานนับร้อยๆ ปี…อย่าได้ประพฤติชั่ว อย่าทำตัวเลวทรามต่ำช้า อย่าเนรคุณกับผู้มีพระคุณ อย่าให้ร้ายป้ายสี เปลี่ยนขาวเป็นดำ เปลี่ยนถูกเป็นผิด เปลี่ยนดีเป็นชั่ว สารพัด…
เขมร…หามีความดีไม่? เป็นอย่างนี้มายาวนานนับแต่อดีตกาลแล้ว!!??
พฤติกรรมลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 จนมีทหารไทยมากถึง 5 รายที่ต้องขาขาด นี่ยังไม่นับรวมพวกที่บาดเจ็บหนักเบาจากทุ่นระเบิดที่ทหารเขมร แอบลอบมาวางในฝั่งไทย แล้วปฏิเสธเสียงแข็ง!…
ทหารเขมรไม่ทำเช่นนั้น???
ทว่าจาก บันทึกภาพเหตุการณ์ ทั้งภาพถ่ายและคลิปวีดิโอที่เป็นฝั่งทหารเขมรเอง ทำการถ่ายบันทึกจัดเก็บเอาไว้ และถูกนำมาเผยแพร่ในเวลาต่อมา…
มันคือการตอกย้ำถึง พฤติกรรม “เขมร” ที่ก็ไม่ต่างไปจากสำนวนข้างต้น สักเท่าใด?
ล่าสุด กองทัพไทย ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568 ว่า ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดได้ตรวจพบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเชื่อว่าเป็นของทหารกัมพูชา บริเวณ ภูมะเขือ เขตชายแดนไทย–กัมพูชา ภายในมี ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอ ที่แสดงการฝังทุ่นสังหารบุคคลชนิด PMN-2 และเป็นของใหม่
ถือเป็น หลักฐานสำคัญ ตอกย้ำข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยว่า…ฝั่งกัมพูชายังคงมีการวางทุ่นระเบิดใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้ก่อนหน้านี้จะปฏิเสธมาตลอดก็ตาม
ทุ่น PMN-2 มีต้นกำเนิดจากรัสเซีย และจัดเป็น ทุ่นสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine) ที่ถูกห้ามใช้อย่างสิ้นเชิงตาม อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาเป็นภาคีร่วมกันมานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2568 มีการตรวจพบและกู้เก็บทุ่น PMN-2 หลายครั้งในเขตชายแดนไทย โดยลักษณะของทุ่นที่พบนั้น “ใหม่และเพิ่งถูกฝัง” ไม่ใช่ทุ่นหลงเหลือจากสงครามเก่า ส่งผลให้ทหารไทยหลายรายได้รับบาดเจ็บ และสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อรัฐบาลทั้งสองประเทศ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไทยมีการเผยแพร่หลักฐาน เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา กองทัพบกไทย ได้นำเสนอคลิปวิดีโอที่บันทึกไว้ตั้งแต่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น ภาพทหารกัมพูชากำลังวางทุ่น PMN-2 ในพื้นที่ชายแดนเช่นกัน
เหตุการณ์ซ้ำซ้อนเหล่านี้…ยิ่งเสริมความน่าเชื่อถือให้กับคำกล่าวหาของฝ่ายไทย และกลายเป็นแรงกระเพื่อมในเวทีระหว่างประเทศที่เริ่มตั้งคำถามถึง ความโปร่งใสของกัมพูชา??? ที่เคยอ้างว่า…
มีการใช้เงินช่วยเหลือต่างชาติไปกับโครงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเท่านั้น
ด้านกัมพูชา นายเฮง รัตนา โฆษกศูนย์ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด (CMAC) ออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง ระบุว่า ทุ่น PMN-2 ที่ไทยกล่าวอ้าง “ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน” หรือเป็นเพียง ทุ่นที่ไม่ติดสวิตช์
ทั้งยังยืนยันหนักแน่นว่า…กัมพูชายังเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการฝังใหม่แต่อย่างใด
คำชี้แจงนี้ ถูกมองว่าเป็นการ “บ่ายเบี่ยง” และไม่สามารถลบล้างหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏทั้งภาพถ่ายและวิดีโอจากโทรศัพท์มือถือที่กองทัพไทยเปิดเผยได้
สำนักข่าวชั้นนำระดับโลก ต่างรายงานข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจาก…
สำนักข่าว AP วิเคราะห์ว่า ไทยอาจพิจารณาใช้สิทธิ์ “ป้องกันตนเอง” ตามกฎหมายสากล หากยังคงพบทุ่น PMN-2 อีก
ขณะที่ The Guardian ชี้ว่า การพบหลักฐานทุ่น PMN-2 กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นใน ข้อตกลงหยุดยิง (ceasefire) ที่เพิ่งบรรลุไปเมื่อปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
ด้าน สำนักข่าว Reuters รายงานว่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่สี่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่อาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหม่ในภูมิภาค
ขณะที่ นักวิเคราะห์สิทธิมนุษยชนสากล มองว่า การใช้ทุ่นสังหารบุคคลใหม่ ๆ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และบั่นทอนความพยายามด้านมนุษยธรรมที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
เช่นกัน…ในโลกโซเชียลมีเดียและบอร์ดต่างประเทศ มีชาวต่างชาติจำนวนมากได้เข้ามาแสดงความวิตกกังวลใจ โดยมีความเห็นหลัก ๆ คือ…
การละเมิดอนุสัญญาออตตาวา – มีการตั้งคำถามว่า…กัมพูชาอาจทำลายความน่าเชื่อถือของสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
ผลกระทบต่อพลเรือน – ความเสี่ยงที่ชาวบ้านชายแดนและเด็ก ๆ จะเหยียบทุ่นระเบิดนี้ ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อย
แรงกดดันต่อประชาคมโลก – หลายเสียงเรียกร้องให้สหประชาชาติและประเทศผู้บริจาคเข้ามาตรวจสอบ เพราะโครงการช่วยเหลือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา มีการสนับสนุนจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา ที่เคยปะทุขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค. 2568 จนเกิดการปะทะกันหนักที่เขตวัดตาเมือนธม และแม้ทั้งสองฝ่ายจะประกาศ “หยุดยิง” เมื่อ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์บาดเจ็บจากทุ่นระเบิด ที่ยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
สิ่งนี้…กลายเป็นตัวบ่อนทำลายความพยายามฟื้นฟูสันติภาพ บริเวณพื้นที่ชายแดนที่มีปัญหา โดยเฉพาะ ภูมะเขือ–วัดตาเมือนธม ซึ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษ
เพราะเป็น “จุดยุทธศาสตร์สำคัญ” ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์มายาวนาน…
หลักฐานจากมือถือที่ถูก กองทัพไทย…นำมาเปิดโปงให้โลกได้รับรุ้ในครั้งนี้ อาจกลายเป็น “จุดแตกหัก” ทางการทูต!!!
เพราะมีทั้งภาพและเสียง…ที่ยากต่อการปฏิเสธ???
โดย ฝ่ายไทย…อาจนำหลักฐานดังกล่าวเสนอต่อ สหประชาชาติ (UN) เพื่อยืนยันการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศโดยตรง
และ หากสถานการณ์ไม่คลี่คลาย ก็มีความเป็นไปได้สูง! ที่ฝ่ายไทยจะเพิ่มกำลังป้องกันแนวชายแดน หรือแม้กระทั่งตอบโต้ด้วย มาตรการทางทหารในระดับจำกัด
สิ่งนี้…ยังคงเป็นความชอบธรรมที่สังคมโลก…ยอมรับได้!!!
ขณะที่ ประชาคมโลกเอง ก็จะต้องหาทางกดดันกัมพูชาให้แสดงความโปร่งใสต่อโครงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ได้รับเงินสนับสนุน
ไม่ใช่ปล่อยให้กัมพูชาถลุงเงินไปกับการจัดซื้อและวางทุนระเบิด เพื่อทำร้ายทหารของประเทศเพื่อนบ้าน อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
ถึงบรรทัดนี้…การค้นพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชา ที่มีหลักฐานอันเป็นประจักษ์พยานสำคัญต่อการจะยืนยันถึง การฝังทุ่น PMN-2 ของทหารกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ไม่เพียงเป็น…ข่าวใหญ่ของภูมิภาค
แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึง ความเปราะบางของความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา และจะเป็น บททดสอบครั้งสำคัญของประชาคมโลก ว่า…
ที่สุด! จะสามารถปกป้องหลักการด้านมนุษยธรรมและกฎหมายสากลได้มากน้อยเพียงใด?
สำหรับ ชาวเขมร หรือ คนกัมพูชา แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนในชนชั้นไหน? และระดับใด? ตั้งแต่…กษัตริย์, ผู้ปกครอง, นักบริหาร, ทหาร, ข้าราชการประจำ เรื่อยลงมาจนถึง…ประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ ทุกคนถูกหลอมรวมความคิดเป็นเหมือนกันหมด…
ผิดคือ…เสียม? (สยามหรือไทย) ถูกคือ…แขมร์ เขมร หรือกัมพูชา!
พวกเขาพร่ำสอนกันมาอย่างนี้…มาอย่างต่อเนื่องและยาวนานแล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องสนใจข้อมูลหลักฐานใดๆ
ไม่สนใจแม้กระทั่ง ความ…ชั่ว-ดี-ถี่-ห่าง!
ถึงต้องเกิดมาเป็นพวก…เขมร ไง!!??.