ไส้ศึก – คนขายชาติ

ประเทศชาติจะล่มสลาย! ไม่ใช่เพราะ “ข้าศึกภายนอก” แต่อยู่ที่ “คนในแผ่นดิน” ที่ขายมันไปทีละชิ้น ในยุคที่ข่าวสารหมุนเร็วสุดในประวัติศาสตร์ สังคมไทยต้องมีภูมิคุ้มกันข่าวลวง! เช่นกัน “ผู้มีอำนาจ” เอง ก็ต้องรักษาความโปร่งใสสูงสุด! อย่าให้เงามืดจากภาพหลอน “ไส้ศึก” หรือ “คนขายชาติ” กลายเป็นจริง
รอบสัปดาห์เศษที่ผ่านมา…กระแสข่าว “ไส้ศึก” และ “คนขายชาติ” มาแรงมาก! สอดรับกับ สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะหยุดยิงตามเงื่อนไขการเจรจาระหว่างกัน ทว่า…สถานการณ์จริง! ฝ่ายกัมพูชา ยังคงมีการเสริมกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง
หากดู ท่วงท่าของฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะบางคน? ที่มีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ซึ่งถูกผูกโยงหรือขั้นชี้เป้าว่าเป็น “บุคคลอันตราย” และ “เป็นภัย” ต่อความมั่นคงของชาติ
สังคมไทย…มีคำตอบในใจ “ใคร? คือเขาคนนั้น”
ยิ่งประเด็น “ไส้ศึก” และ “คนขายชาติ” ถูกปลุกและจุดกระแสมาจาก “บิ๊กตี๋” พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ นายทหารนักวิเคราะห์ อดีต ผอ.ช่อง 5 ปัจจุบันเป็น…หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ กับประเด็น…
ผู้มีอำนาจ…โทรไปหาและกดดันแม่ทัพขุนพลแนวหน้าให้หยุดยิงกับทหารกัมพูชาทันที!
ยิ่งทำให้สังคมตื่นตัวต่อปัญหาดังกล่าวอย่างที่สุด!!!
ร้อนถึงคนที่อยู่ข่ายต้องสงสัยว่า อาจจะใช่…เขาคนนั้นหรือเปล่า?
หนึ่งในนั้น คือ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาการราชการแทนนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาตอบคำถามและข้อสงสัยของสังคมไทย ประมาณว่า…
“การสั่งให้ทหารถอยจากปราสาทตาเมือนธม ไม่ได้หมายความว่า…เป็นการขายชาติ”
อีกทั้ง คำสั่งดังกล่าวยังเป็นไปตาม MOU 43 ซึ่งเป็นข้อตกลงกรอบระหว่างไทย–กัมพูชาที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
นายภูมิธรรม ย้ำว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงเดิมที่มีผลมานานเกือบ 25 ปีแล้ว และเป็นเพียงการ “ลดความตึงเครียด” เพื่อป้องกันการปะทะ ไม่ใช่การโอนดินแดน
สังคมไทยจะเชื่อใคร? ปล่อยให้เป็นเรื่องของกาลเวลาที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริง!!!
แต่จากท่าทีของ นายภูมิธรรม นับแต่ดำรงตำแหน่ง…รองนายกฯและรมว.กลาโหม จนถึงปัจจุบัน คงยากจะให้สังคมไทยคิดเป็นอื่นได้???
กลับมาสู่ประเด็น… “ไส้ศึก” และ “คนขายชาติ” มันเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? ลองไปฟังผู้รู้วิเคราะห์และแยกแยะระหว่าง 2 คำนี้…
“ไส้ศึก” หมายถึง…บุคคลในฝ่ายเรา แต่ลอบให้ข้อมูลหรือช่วยเหลือศัตรูอย่างลับ ๆ บ่อนทำลายจากภายใน เหมือน “หนอนในไส้”
ส่วน “คนขายชาติ” ก็คือ… ผู้ที่ถืออำนาจรัฐและยอมแลกผลประโยชน์ของชาติ เช่น ดินแดน อำนาจ หรือทรัพยากร เพื่อผลตอบแทนส่วนตน โดยมักเป็นการตัดสินใจที่เปิดเผย หรือกึ่งเปิดเผยในระดับนโยบาย
สิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้ง 2 พฤติกรรมเป็นการทรยศต่อประเทศชาติ และในกฎหมายไทย โดยเฉพาะ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119–121 การกระทำในลักษณะนี้ อาจมีโทษสูงสุดถึง…ประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต
พอจะเห็น…ความเหมือนและความแตกต่างกันบ้างแล้ว
ในประวัติศาสตร์การเมืองและความมั่นคงของไทย คำว่า “ไส้ศึก” และ “คนขายชาติ” เป็นคำ “ต้องห้าม” ที่สะท้อน การทรยศขั้นร้ายแรงต่อประเทศชาติ ทว่าทุกครั้งที่สถานการณ์บ้านเมืองตึงเครียด โดยเฉพาะช่วงวิกฤตชายแดนหรือความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน
คำเหล่านี้มักจะโผล่ขึ้นมาบนหน้าสื่อและโซเชียลอย่างพร้อมเพรียงกัน???
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ กระแสข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ได้จุดกระแสคำถามใหญ่ในสังคม — ใครกันแน่? ที่กำลังทำงานเพื่อผลประโยชน์ของชาติ และใครอาจกำลังบ่อนทำลายจากภายใน?
อย่างไรก็ตาม กับ กระแสโซเชียล ที่มักได้รับการขยายเหตุการณ์ในมิติที่ร้อนแรงและรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับ “อธิปไตย” และ “ความมั่นคง” ประเด็นนี้ ยิ่งถูกเติมเชื้อด้วยคำว่า “ขายชาติ” และ “ไส้ศึก” ซึ่งมีน้ำหนักทางอารมณ์สูง!!!
ทำให้ “ผู้รับสาร” บางส่วนอาจเข้าใจว่า…เป็นการยอมเสียเปรียบกับประเทศคู่กรณี!!!
แต่เมื่อพิจารณาจาก เอกสาร MOU 43 และคำชี้แจงจากฝ่ายความมั่นคง พบว่า…ไม่มีการลงนามข้อตกลงใหม่เพื่อยกดินแดนให้กัมพูชา การถอยกำลังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวในจุดพิพาทที่ยังต้องเจรจา
ดังนั้น บทเรียนจากกรณีข้างต้น จำเป็นที่สังคมไทย โดยเฉพาะคนในโลกโซเชียล จำเป็นจะต้องรอบคอบและรอบด้าน ต่อการพิจารณาข้อมูลและข่าวสารที่เกิดขึ้นในยามที่ชาติบ้านเมืองไม่ได้อยู่ในภาวะที่ปกติ โดยการ….
ข้อมูลต้องครบก่อนตัดสิน ข่าวลืออาจสร้างความเข้าใจผิดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในแพลตฟอร์มโซเชียล
ความโปร่งใสเป็นเกราะป้องกัน ฝ่ายการเมืองและกองทัพต้องสื่อสารข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนต่อสาธารณะ
ไส้ศึกและคนขายชาติเป็นภัยจริง แต่ต้องแยกให้ออกจากการดำเนินนโยบายปกติที่อาจถูกตีความผิด
ถึงบรรทัดนี้ สังคมไทย เองก็ต้องยอมรับกันว่า…คำว่า “ไส้ศึก” และ “คนขายชาติ” มีพลังมากพอที่จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชน และบั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาลได้ในพริบตา
แต่ในกรณี MOU 43 และ การถอยกำลังที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งจากปรากฏหลักฐานที่มีอยู่ ชี้ว่า…เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงเดิม เพื่อป้องกันการปะทะ ไม่ใช่การขายชาติ
ดังนั้น ในยุคข่าวสารหมุนเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ สังคมไทยต้องมีภูมิคุ้มกันข่าวลวง!!!
ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจ ก็จะต้องรักษาความโปร่งใสสูงสุด! เพื่อป้องกันไม่ให้…เงามืดของ “ไส้ศึก” หรือ “คนขายชาติ” กลายเป็นจริงจากเพียงแค่ภาพหลอนของคลื่นข่าว.