คำพูด! สร้าง ‘แต้มต่อ’ แต่จะพอ ‘ลบล้าง’ ข้อมูลซักฟอก ‘เชิงลึก-จะจะ’ ได้หรือไม่? ต้องลุ้น!!!

คำพูดคน! หากไม่เลือกที่จะใช้เพื่อการสื่อสาร ย่อมสร้างสรรค์และทำล้ายล้างตัวเอง…ไปพร้อมกัน กับวลี “…ปิด ส.ว. ปิดสวิตช์ 3 ป. เพื่อทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี…” ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยใช้…เมื่อคราวหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งใหญ่ (14 พฤษภาคม 2566) กลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาฟาดฟันตัวเอง จนกระทั่งบัดนี้
เช่นกัน…ภายหลังเกิดกระแสข่าว “ตัดไฟ ตัดสัญญาณเน็ต และห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปยังประเทศเมียนมา” เพื่อกดดันและบีบคั้นรัฐบาลเมียนมา ต่อ แก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ กระทั่ง มีการก่อ “ม็อบจัดตั้ง” ต่อต้านรัฐบาลไทยและสินค้าไทย ในประเทศแห่งนี้
หลากหลายเรื่องราวรวมๆ กัน จนก่อเกิดเป็น วลีใหม่กับคนพูดคนเดิม นั่นคือ…
“การทำสิ่งเหล่านี้ (2 ตัด + 1 ห้าม) เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และป้องกันเรื่องภัยอันตราย ส่วนเรื่องการประท้วงทางฝั่งเมียนมา ดิฉันทราบแล้ว แต่อย่างที่บอก…เราต้องดูแลคนของเราก่อน เพราะดิฉันเป็นนายกฯของประเทศไทย คิดว่าทางนั้นก็ต้องดูแลประชาชนของตัวเอง ทุกประเทศต้องดูแลคนของตัวเอง”
หากถอดรหัสคำพูดนี้ “…เพราะดิฉันเป็นนายกฯของประเทศไทย คิดว่าทางนั้นก็ต้องดูแลประชาชนของตัวเอง…” คงพอจะแปลความได้ว่า…
คนไทยต้องมาก่อน! ปัญหาของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลของพวกเขาก็ต้องดูแลกันเอง…อะไรทำนองนี้
แน่นอนว่า…ประโยคนี้ประโยคเดียว อาจช่วยเติมเต็มภาพลักษณ์ที่ดีของ นายกฯแพทองธาร และช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อคนไทย จากประโยคคำพูดก่อนหน้านี้…ได้เยอะทีเดียว!
ถามว่า…เรื่องนี้มันจะมีผลอย่างไร?
คำตอบคือ…ในห้วงที่มีเรื่องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ที่ทำลายภาพลักษณ์ของไทย และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสถานะทางการเงินของ “เหยื่อคนไทย” ที่ถูกหลอกลวงจากแก๊งและขบวนการเหล่านี้
การพูด “ให้ได้ใจ” คนไทยทั้งประเทศ ย่อมถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์นี้มากที่สุด!
ไม่ว่า นายกฯแพทองธาร จะคิดและพูดเอง ในยามเฉพาะหน้า…ที่จะต้องตอบคำถามของนักข่าว หรือเพราะมีทีมงานยุทธศาสตร์ คอยวางแผนเชิงกลยุทธ์ ต่อการสร้างวลีคมๆ เช่นนี้ ก็ตาม
ทว่าสิ่งนี้…มันทำให้ นายกฯแพทองธาร “ได้ใจ” จากคนไทยไปเต็มๆ
ที่สำคัญ ในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้า รัฐบาลและตัวของ นายกฯแพทองธาร เอง ก็จะต้องเข้าสู่โหมดการถูก “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสภาผู้แทนราษฎร อยู่แล้ว
การมี “แต้มต่อ” นอกสภาฯ ย่อมสอดประสานกับ “แต้มต่อ” ในสภาฯ ที่ยังไงๆ ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งมีเสียง ส.ส.มากกว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ย่อมชนะโหวตอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ “แต้มต่อ” นอกสภาฯ ย่อมพอจะช่วยลดทอนความน่าเชื่อถือในข้อมูลที่ฝ่ายค้านฯ นำมาอภิปรายเปิดโปงได้บ้าง โดยเฉพาะข้อมูลที่พาดพิงไปถึง บุคคลนอก เช่น บุคคลที่เรียกตัวเองเป็นคนจำพวก “สทร.” อย่าง…อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ ฝ่ายค้านจะนำเรื่องพรรค์นี้มาอภิปรายในสภาฯ รวมถึงขอเวลาอภิปราย 4-5 วัน นั้น ทางฝั่งของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เอง ก็ได้ส่งสัญญาณเตือนกันไปบ้างแล้ว โดยตัวเขาได้ให้สัมภาษณ์ข่าว ที่ท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ทำนอง…
เรื่องที่พรรคฝ่ายค้านเตรียมจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น มันอยู่ที่ประเด็นของการอภิปรายฯ หากคิดว่ารัฐบาลมีจุดบกพร่องตรงไหน ก็ดูตามประเด็น หากไม่มีประเด็นอะไร จะใช้เวลาแค่วันเดียวคงพอ แต่หากมีประเด็นที่จะอภิปรายก็ไม่มีปัญหาจะใช้เวลากี่วันก็ได้ ให้ดูตามความจำเป็น
ส่วนการจะพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 หรือ อดีตนายกฯทักษิณ นั้น นายภูมิธรรม ย้ำว่า… การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือให้อภิปรายรัฐบาล มีข้อวิจารณ์หรือข้อแนะนำอะไรให้กับรัฐบาล ไม่ใช่จะอภิปรายใครก็ทำได้ เพราะมีกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับสภากำหนดอยู่ ขอให้ฝ่ายค้านตรวจสอบทบทวนให้ดี ถ้าไปอภิปรายคนนอก ข้อบังคับสภาและกฎหมาย ไม่ได้คุ้มครอง
นาทีนี้ ก็ต้องชื่นชม นายกฯแพทองธาร และทีมงานฯ ที่ รู้จักหยิบและใช้คำพูด เพื่อจะทำให้ตัวเอง ได้นั่ง “อยู่ในใจ” ของคนไทยทั้งประเทศ
อย่างน้อย…การขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หรือ “ศึกซักฟอก” จากฝ่ายค้านรอบนี้ ทั้ง ตัวนายกฯแพทองธาร และรัฐบาลชุดนี้ รวมถึง บุคคลที่ 3 ที่ถูกฝ่ายค้าน “จองคิว” ฟาดงวงงาไปถึง อย่าง “อดีตนายกฯทักษิณ” ย่อมจะมี “แต้มต่อ” สำรองในมือ…พอจะช่วยลดทอนผลกระทบเชิงลบ ได้อยู่บ้าง
ยกเว้น! ข้อมูลเชิงลึกของฝ่ายค้าน ที่จะมีออกมา อยู่ในระดับ “ลึกสุด…จะจะ!”
ถึงตอนนั้น ก็คงจะ ตัวใครตัวมัน? ลำพัง “แต้มต่อ” ก็คงจะเอาไม่อยู่เป็นแน่!!!.