คลังคลอด ‘ร่างกม. Financial Hub‘ กินรวบ 8 ธุรกิจหลัก – จ่อตั้ง ‘สนง.+ ซูเปอร์บอร์ด’ OSA คุมเด็ดขาด!
กระทรวงการคลังยกร่างกฎหมายจัดตั้งศูนย์กลางการเงินเสร็จแล้ว ครอบคลุม 8 ธุรกิจหลัก รอชง ครม.พิจารณา ต้น ก.พ.นี้ ก่อนส่งต่อให้กฤษฎีการับลูก คาดเสนอเข้าที่ประชุมสภาฯ พิจารณาวาระแรก ทันก่อนปิดสภาฯ เม.ย.2568 เผย! จ่อจัดตั้งสำนักงาน One Stop Authority (สำนักงาน OSA) และ “8 ซูเปอร์บอร์ด” แห่ง OSA มอบอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด! กำกับดูแลตั้งแต่ต้นทางยันปิดฉาก พร้อม “เลิก 7 กฎหมายเก่า” อิงกฎหมายใหม่แทน สำหรับธุรกิจต่างชาติหรือธุรกิจไทยที่หากินกับชาวต่างชาติเท่านั้น
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ต่อเนื่องจากที่ รัฐบาลได้แถลงนโยบายจัดตั้งศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อพัฒนาไทยเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ รัฐบาลได้แต่งตั้ง คณะกรรมการกำหนดนโยบายและยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน ที่มีตนเป็นประธาน ซึ่ง กระทรวงการคลังได้ยกร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. ที่มีทั้งหมด 96 มาตรา เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นกฎหมายฉบับใหม่นี้ มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ออกแบบสิทธิประโยชน์ รวมทั้งพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงิน ทั้งการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อย่างช้าต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีหลักการสำคัญ ดังนี้
1) ธุรกิจเป้าหมาย :
Financial Hub ต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ 2) ธุรกิจบริการการชำระเงิน 3) ธุรกิจหลักทรัพย์ 4) ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 5) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 6) ธุรกิจประกันภัย 7) ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ และ 8) ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่ คกก. ประกาศกำหนด ให้เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทในไทย โดยตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนดและต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด สามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น ทั้งนี้ จะอนุญาตให้สามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศได้ในกรณี ดังนี้
(1) ด้านประกันภัย สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้
(2) ด้านตลาดทุน สามารถให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้
(3) ด้านสถาบันการเงิน สามารถทำ Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้
(4) ด้านธุรกิจบริการการชำระเงิน สามารถเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้
(5) ด้านธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ประกอบธุรกิจมีสถานะเป็น Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท
2) สิทธิประโยชน์ :
ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายภายใต้ Financial Hub จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษีตามที่ คกก. กำหนด โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องแข่งขันได้ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี เช่น การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การให้กรรมสิทธิในการถือครองห้องชุดเพื่อการประกอบธุรกิจและอยู่อาศัย เป็นต้น
3) การอนุญาตและกำกับดูแล :
จะมีการตั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: สำนักงาน OSA) ขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐเพื่อให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (End to end) เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็น Financial Hub และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินเข้ามาลงทุน และมี คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (คกก. OSA) หรือ “ซูเปอร์บอร์ด” ทำหน้าที่ในการ กำหนดนโยบาย กำหนดแนวทางการส่งเสริม กำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขออนุญาต และการอนุญาต การเพิกถอน และการกำกับดูแล โดยต้อง อยู่ภายใต้ข้อกำหนดหรือมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ที่เป็นมาตรฐานสากล
สำหรับ “ซูเปอร์บอร์ด” ซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 8 คนประกอบด้วย…ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), เลขาธิการคณะกรรมการบีโอไอ เป็นต้น
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า สำนักงาน OSA และ ซูเปอร์บอร์ด OSA จะมีขอบเขตอำนาจดำเนินการตามที่กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดไว้ โดยกฎหมายใหม่นี้ จะเข้ามาทำหน้าที่แทนกฎหมายเดิมที่มีจำนวน 7 ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน, กฎหมายว่าด้วยธุรกิจระบบการชำระเงิน, กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า, กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล, กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย โดยหากเป็นการดำเนินงานภายใต้กรอบกฎหมาย ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ซึ่งครอบคลุมธุรกิจต่างประเทศ หรือในประเทศที่ทำธุรกรรมกับชาวต่างชาติเท่านั้น
“ปัญหาในประเทศไทย กฎหมายมันซ้อนกันไปมา การที่ไม่มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ที่มีอำนาจในการดูแลอย่างครบวงจร มันทำให้เราจะเดินไปทางไหนก็ติดขัดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราต้องการจะสร้าง Financial Hub โดยทำให้ทุกอย่างมันครบวงจร ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นจะต้องมีกฎหมายที่ครอบคลุมทั้งหมด และมีคณะกรรมการ (ซูเปอร์บอร์ด OSA) ที่มีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตั้งแต่เริ่มต้นกำหนดนโยบาย ไปจนถึงการเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งนี้ คณะกรรมการฯเอง ก็จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายฉบับนี้ เช่นกัน” รมช.คลัง ระบุและว่า…
ทั้งนี้ ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินไทยที่พัฒนามากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ดังนั้น การพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค จะดึงดูดธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทย ทำให้แรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น เกิดการพัฒนาธุรกิจทางการเงินในไทย เกิดการจ้างงานในประเทศ เกิดการถ่ายทอดทักษะและเทคโนโลยีแก่แรงงานไทย รัฐบาลจึงมีนโยบายชัดเจนที่จะผลักดันให้ Financial Hub เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เบื้องต้นได้พิจารณาการดำเนินการของทางฮ่องกงและสิงคโปร์ที่ยังติดขัดในการให้บริการในบางเรื่อง เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้เข้ากับสิ่งที่รัฐบาลได้จัดทำ โดยเราเองมีแผนจะใช้ไทยเป็น Financial Hub เชื่อมต่อกับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) นอกจากนี้ ความเป็น Financial Hub จะครอบคลุมไปถึงการระบบการเงินรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ในอนาคตด้วย
สำหรับคาดการณ์ถึง กรอบเวลาของกฎหมายจัดตั้งศูนย์กลางการเงินฉบับนี้ รมช.คลัง ระบุว่า ขณะนี้ได้นำเสนอเรื่องไปยัง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อรอการนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เชื่อว่า อย่างช้าคงอยู่ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จากนั้น จะเสนอเรื่องต่อไปยัง สำนักงานกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายฯ ซึ่งคาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน ก่อนจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เชื่อว่าจะสามารถเสนอเพื่อพิจารณาวาระแรก ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ในเดือนเมษายน 2568.