จับตา! หมัดน็อก “ทักษิณ-อิ๊ง-พท.” ส้มหล่นใส่ พรรคสีน้ำเงิน “อนุทิน” ยิ้มร่าเริง
อดีตเลขาฯสมช. จับตาหมัดน็อก “ทักษิณ-นายกฯอิ๊ง-เพื่อไทย” ระส่ำ ! ส่อเค้า ต้องหนีออกนอกประเทศ พ้นตำแหน่ง หรือ ยุบพรรค จับตา ส้มหล่นใส่ พรรคสีน้ำเงิน ขณะ ข้าราชการ เตรียมใส่เกียร์ว่าง ทำประเทศชะงักงัน จากคดีความ “ชั้น14 รพ.ตำรวจ-ที่ดินอัลไพน์”
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วิเคราะห์เจาะลึกถึงสถานการณ์การเมืองที่เข้มข้น ในช่วงเดือนพ.ย.จากคดีความ คำร้องต่างๆจะนำไปสู่จุดพลิกผันทางการเมือง ครั้งใหญ่ อยู่ที่ปัจจัย ของผู้นำจิตวิญญาณ พรรคเพื่อไทย (พท.) คือ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ซึ่งต้องดูตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นมา ที่เริ่มร้อนแรงแล้ว มีด้วยกันสองประเด็นหลัก คือ เรื่องชั้น 14 ที่ไม่มีการติดคุกแม้แต่วันเดียว และในเรื่องการครอบงำ ครอบครองพรรคเพื่อไทย
ส่วนกรณีของ น.ส.แพทองธาร คือการที่ทำให้พรรคเพื่อไทย ถูกครอบงำ และ อีกคดีที่มีความล่อแหลมคือที่ดินอัลไพน์ที่ดินของวัด ซึ่งกำลังเดินเข้าสู่กระบวนการ ทั้งช่องทางของคณะกรรมการป.ป.ช. , กกต. ,ศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมาบรรจบพอดีในราวกลางเดือนพ.ย.นี้ ดังนั้นในห้วงเวลานี้จะเป็นการรุมเร้าของปัญหา
เพราะเมื่อคดีไปจบที่องค์กรอิสระ หรือ ศาลไหน ก็จะมีผลกระทบหมด เพราะ1. อาจจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเลย คือการทำให้ น.ส.แพทองธาร ต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือ หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ได้ และในขณะเดียวกัน ในส่วนของ คุณทักษิณ ถึงแม้จะเป็นทางอ้อม แต่ถ้าเกิดว่าห้ามมาเกี่ยวข้อง หรือ มีโอกาสที่จะกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำ สิ่งต่างๆเหล่านี้ อย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะคุณทักษิณ เป็นผู้ทรงอิทธิพล ต่อพรรคเพื่อไทย พรรคแกนนำรัฐบาล และหากพรรคเสียการทรงตัว จะทำให้พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาลก็จะหมดไป ดังนั้นเดือน พ.ย.นี้จึงมีความล่อแหลมมาก
รัฐบาลจะอยู่ถึงตรุษจีนหรือไม่
ณ ตรงนี้ ตามกระบวนการดูเหมือนว่าให้ลากต่อไปได้ เพราะยังเชื่อมั่นว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ จะเร็วกว่าของ น.ส. แพทองธาร แต่จริงๆแล้ว สำหรับคดีของคุณทักษิณ หากประสบปัญหาตามที่เราได้บอกเอาไว้ข้างต้น ก็จะเกิดผลกระทบตามมาอยู่ดี แต่สำหรับคดีของ น.ส.แพทองธาร อาจจะต้องมีกระบวนการ แต่จริงๆแล้วก็ต้องถือว่าหวาดเสียว เพราะเรายังไม่รู้ว่าเรื่องที่ไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีด้วยกันถึง 6 ประเด็น ดังนั้นเพียงแค่ศาลรัฐธรรมนูญ รับไว้ ก็จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลมีปัญหาแล้ว
หรือหากศาลรับคำร้องไว้ แล้วสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าอาการจะไม่ค่อยดี แต่เชื่อมั่นว่า จะมีน้ำหนักในเรื่องของการที่ศาลรับไว้ แต่ยังไม่ต้องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้นจะมีสูง ซึ่งเราจะเห็นเค้าลางเหล่านี้ในเวลาอีกไม่นาน เมื่อศาลให้เวลากับอัยการสูงสุด ที่จะต้องตอบคำถามกลับมาภายใน 15 วัน ว่ากรณีมีผู้ยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากภายในเวลา 15 วันอัยการสูงสุดไม่ได้ดำเนินการอะไร ซึ่งเราต้องรอคำตอบจากศาลรัฐธรรมนูญ
และเมื่ออัยการสูงสุด ตอบศาลรัฐธรรมนูญกลับมาภายใน 15 วัน ก็เตรียมใจจดใจจ่อกันได้เลย แต่ขณะเดียวกัน เรื่อง ชั้น14 ของคุณทักษิณ เองนั้น ก็ไปอยู่ในมือของคณะกรรมการป.ป.ช.แล้ว ซึ่งก็เริ่มมีความก้าวหน้ามาเรื่อยๆ เรื่องนี้หากป.ป.ช.ชี้มูลออกมา บรรดาข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องสะดุดหยุดลงในการปฏิบัติหน้าที่ แล้วจากนั้นเรื่องก็จะลุกลามจนชี้ให้เห็นแนวโน้มว่าอาจจะจบไม่สวย
พอมาถึงจุดนี้ รัฐบาลก็จะขาดเสถียรภาพอีก ส่วนข้าราชการเองก็เริ่มพะว้าพะวัง เริ่มไม่กล้าที่จะไปสนับสนุนกิจกรรมต่างๆงานต่างๆของรัฐบาล
จุดนี้อาจจะทำให้พรรคข้าราชการ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดรวนไปด้วย
อาจจะเกิดสภาพที่เรียกว่า ข้าราชการเกียร์ว่าง หรือ ขาลอย คือถ้ารัฐบาลเกียร์ว่าง ก็ขาลอย เพราะกลไกขับเคลื่อนจะไม่เดิน ซึ่งตอนนี้ เราก็เริ่มเห็นแล้วว่าสภาพของรัฐบาลเริ่มถูกถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำท่วม เรื่องเศรษฐกิจ ปัจจัยภายนอกที่มีสงครามเกิดขึ้น 3-4 สมรภูมิ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งสิ้น
มีการตั้งข้อสังเกตว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญ โยนเรื่องกลับไปที่อัยการสูงสุดก่อนที่จะรับหรือไม่รับคำร้อง ทำให้ถูกมองว่าจะทำให้กระบวนการต่างๆเร็วขึ้นหรือไม่
กรณีเมื่อนำไปเทียบเคียงกับคดีการยุบพรรคก้าวไกลที่ผ่านมา ถือว่าเป็นกระบวนการแบบเดียวกันเลย คือศาลรัฐธรรมนูญทำหนังสือให้อัยการสูงสุดตอบกลับมาภายใน 15 วัน ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ ก็รับคำร้องให้ยุบพรรค ซึ่งเรื่องนี้ตัวแบบอย่างเดียวกัน ร่องรอยคล้ายๆกัน จึงทำให้อ่านยาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้เสียวสันหลังก็ได้ หรือ จะไม่เสียวสันหลังก็ได้ ถ้าต้องการจะปลอบใจตัวเอง แต่มองดีๆจะพบว่าเป็นรูปการณ์ที่ซ้ำกับตอนคดียุบพรรคก้าวไกล ดังนั้นจึงต้องตั้งข้อสังเกตเอาไว้ก่อนว่าน่าหวาดเสียวมากกว่า
ในทางการข่าวแล้ว ได้มีการติดตามหรือไม่ว่าทั้งเรื่องคดีความของทักษิณที่อาจจบเร็ว อาจทำให้คุณทักษิณ เตรียมการออกนอกประเทศอีกหรือไม่
ในทางกระแสข่าวมีชัด และ นอกจากนี้ยังมีการสื่อออกมาในทางสาธารณะอีกด้วย โดยพิธีกรรายการข่าวหนึ่ง ที่ระบุชัดเจนว่าคุณทักษิณ มีการขออนุญาตที่จะออกนอกประเทศ ไปดูไบด้วยกันถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการอนุญาตจากศาล ทั้งที่มีข่าวชัดเจนว่าเคยขอไปดูไบ แต่ไม่ได้ ต่อมามีการข่าวระบุว่า จะขอออกนอกประเทศ เพื่อไปแสดงความยินดี กับประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใหม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา การรับตำแหน่งดังกล่าวก็เสร็จสิ้นลงไปแล้ว
และมีกระแสข่าวว่าคุณทักษิณ ขอเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปแสดงความยินดี กับประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ เมื่อได้รับทราบผลการเลือกตั้ง ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 4 พ.ย.นี้ ตอนนี้ทุกฝ่ายก็จับตามองดูอยู่ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปที่การขอศาลเดินทางไปดูไบ ก็เป็นสิ่งบอกเหตุที่ไม่น่าจะดี และขณะเดียวกัน จะถูกถามถึงสถานะว่าคุณทักษิณ คืออะไรที่จะขอออกไปพบกับผู้นำต่างประเทศ ตัวท่านเองเป็นแค่อดีตผู้นำ และมีปัญหาว่ามีคดีติดหลังอยู่ จึงมีข้อสังเกตว่าคุณมีพลังขนาดนั้นเลยหรือ ในการที่จะได้เข้าไปพบผู้นำต่างประเทศ
ข้อสังเกต ต่างๆเหล่านี้จะกลายเป็นข้อจำกัดสำหรับตัวคุณทักษิณตามมา และทำให้ศาลมองว่าจะเดินทางออกนอกประเทศไปได้อย่างไร เมื่อมีสถาะเช่นนี้ ดังนั้นแนวโน้มที่จะตามมาคือ ไม่ต้องไป เนื่องจากสามารถสื่อสารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ หรือจะสื่อสารผ่าน นายกฯแพทองธาร ก็ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้มีการมองว่า เตรียมการหนีอีกหรือไม่ และจะสร้างความหวั่นไหวให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องตามมาด้วยหรือไม่
ถูกต้องเลย เพราะจากสถานการณ์แบบนี้ แล้วบวกกับบทเรียนในอดีตที่คุณทักษิณ เคยไปแล้วไม่กลับประเทศไทย ประกอบกับคดีต่างๆเริ่มส่งผลในทางลบของตัวท่านเองและต่อนายกฯแพทองธาร ต่อรัฐบาลด้วย เนื่องจากเกิดกระแสต่างๆออกมาว่า รัฐบาลอาจจะเดินต่อไม่ได้ ขณะที่พรรคสีน้ำเงิน ที่ร่วมรัฐบาล ก็มีข่าวเชิงบวกว่าโอกาสที่จะถูกยุบพรรค อาจจะไม่มีแล้ว รวมทั้งมีกระแสข่าวว่าอาจจะต้องเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาล สอดรับกับคดีความต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะรวมๆแล้วได้ประมาณ 20 คดีแล้วจึงกลายเป็นเหตุปัจจัยที่ประชาชนมอง แล้วว่าเมื่อเจอแต่คดีความแบบนี้แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาใช้ดุลยพินิจในการบริหารราชการแผ่นดิน
ส่วนฝ่ายกฎหมาของพรรคเพื่อไทย และของรัฐบาลก็จะไปติดกับดักแต่เรื่องของคดีลักษณะนี้ แล้วอย่างนี้จะไปต่อกันอย่างไร ซึ่งมีแต่ภาพข่าวเชิงลบ อีกทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย อาจจะโดนน็อกได้ คนก็เชื่อและมองว่าหากโดนจริง จากแนวโน้มที่ผ่านมาคุณทักษิณ จะหนีออกนอกประเทศทุกครั้ง ดังนั้นจากน้ำหนักต่างๆ ทำให้ประชาชนสามารถเชื่อเช่นนั้นได้
ดังนั้นตั้งแต่เดือนพ.ย.เป็นต้นไป จะเป็นภาวะวิกฤติของประเทศ เพราะจะเห็นเลยว่าคนที่เป็นแกนนำรัฐบาล ระยะหลังๆเราจะเห็นว่า ไม่ค่อยเห็นคุณทักษิณออกงานใดๆเหมือนกับครั้งแรก สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งบอกเหตุและประมาทไม่ได้ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
อย่างนี้จะเรียกว่าปิดประตูตีแมว ในช่วง1-2 เดือนนี้ได้หรือไม่
ถือว่าใช่เลย แม้จะมีการดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล แต่ปรากฏว่าพอรับประทานอาหารจบแล้ว เรื่องแนวทางการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ของพรรคร่วมรัฐบาล กลับไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกันเลย แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีเอกภาพ อยู่กันไป ต่อรองกันตลอดเวลา เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังนั้นจึงมีแต่ภาพว่าจับมือกันเท่านั้น แต่เมื่อดูจากผลของการบริหารราชการแผ่นดินตอนนี้ กลับไม่มีการขับเคลื่อนแบบเป็นเอกภาพเลย ต่างคนต่างเดิน โดยเฉพาะเรื่องตัวบทกฎหมาย ที่จะต้องเดินไปด้วยกัน อย่างเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเลย
นี่คือสิ่งบอกเหตุถึงความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังกลายเป็นว่าพรรครองลงมา ยังกดดันพรรคเพื่อไทย รวมถึง อีก2-3พรรคยังไปจับมือกันแน่นแฟ้นด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ตรงนี้จึงสะท้อนว่าเอกภาพของรัฐบาล มีปัญหา ฉะนั้นการที่จะเดินไปข้างหน้า จึงทำให้สังคมมองว่า จะไปกันต่ออย่างไร
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งปัจจัยภายในและภายนอกกำลังเป็นสิ่งบอกเหตุว่า ประเทศกำลังชะงักงัน จนกว่าจะมีความชัดเจนทางคดี ซึ่งคนก็พยากรณ์ไปในทางลบมากกว่าบวก
แม้พรรคร่วมรัฐบาลเองจะต้องมีคดีที่เรียกว่าล่มหัวจมท้ายไปด้วยกับพรรคเพื่อไทย กรณีมีคำร้องให้ยุบ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ที่เข้าไปหารือกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ของคุณทักษิณ
ประเด็นนี้อาจไม่เป็นผลอะไร เพราะจริงๆแล้ว มีการมองว่าหากจะเป็นปัญหาจริงๆก็คงจะเฉพาะกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้พรรคร่วมรัฐบาล จึงต้องแสวงทางออกด้วยการเป็นพยานร่วมกัน เพื่อชี้ให้เห็นว่าคุณทักษิณ มาครอบงำพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆไม่ได้ อาจจะเสนอแนะได้ แต่จะมาครอบงำหรือชี้นำ ไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือคุณทักษิณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว และเมื่อมีคำตอบว่า คุณทักษิณ ไม่สามารถชี้นำพรรคร่วมรัฐบาลได้ ก็จะเด้งกลับไปที่พรรคเพื่อไทยให้มีน้ำหนักทันที
จุดนี้จะขึ้นอยู่กับพยานแวดล้อมต่างๆ ซึ่งหากจะนำไปสู่การถูกยุบพรรค ก็จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลจะกลายไปเป็นพยานกันหมด ไม่ได้เป็นจำเลย และสุดท้ายอาจจะไปจบลงที่ว่า มีการยุบพรรค มีความผิด ส่วนพรรคอื่นก็กลายเป็นพยานและอยู่ไปตามเดิม เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยตายเดี่ยวไปพรรคเดียว ไม่ใช่ตายหมู่
ดังนั้นหมายความว่ามีโอกาสที่นายกฯคนต่อไป อาจจะมาจากพรรคร่วมรัฐบาล หากพรรคเพื่อไทย ต้องถูกยุบพรรคจริง
ณ ตอนนี้ จากกระแสและร่องรอย จะพบว่าการที่ใครจะเป็นรัฐบาลต่อ หรือไม่คล้ายกับว่ามีเงาอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างหลัง มันไม่ได้เกิดจากการจับมือกันอย่างเบ็ดเสร็จ แต่มันมีเงาที่เรียกว่า เป็น ดีพสเตท หรือรัฐพันลึก คอยชี้นำอยู่ซึ่งเป็นอำนาจในอดีต ที่มาครอบงำอยู่ ตรงนี้จึงเป็นเหมือนการส่งสัญญาณที่ชี้ว่าเมื่อปล่อยให้พรรคเพื่อไทยแสดงแล้ว ทั้งตัวผู้นำทางจิตวิญญาณ ทั้งนายกฯแพทองธาร แล้วก็รู้สึกว่าจะไปไม่ไหวแล้ว ฉะนั้นจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้น ก็มีการกลัวกันว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องมีการส่งสัญญาณอีกว่าหากจะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องไม่มีการยุบสภา แต่ต้องมาเป็นพรรคสีน้ำเงิน หรือ พรรคภูมิใจไทย ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค แต่ ตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่น่าจะอยู่ในระหว่างที่มีการต่อรองกันอยู่ ฝ่ายพรรคเพื่อไทย ก็เหลือเครื่องมือเดียว คือการยุบสภา แต่ก็มีคำถามว่า หากมีการยุบสภา แล้วก็จะไปเข้าทาง พรรคสีส้มเลยหรือไม่
พรรคประชาชนไม่ต้องออกแรงเลย แต่เราก็ยังไม่รู้ เพราะพรรคเพื่อไทย อาจจะมองว่า ให้ไปเสี่ยงอนาคตกันเอง แต่จะไม่ยอมส่งไม้ให้กับพรรคภูมิใจไทย ก็ได้ แต่แน่นอนว่ายังมีปัจจัยที่มองไม่เห็น เหมือนกับการจับมือของรัฐบาลข้ามขั้วยังมีการบังคับว่า พรรคเพื่อไทยแสดงต่อไม่ไหวแล้ว แต่ต้องส่งไม้ อย่าไปถึงการยุบสภา
ดังนั้นคงต้องจับตานับจากนี้ไป ตั้งแต่คดีความต่างๆที่จะเกิดขึ้น เพราะผลจากคดีความมีเงาที่ทำให้เกิดการต่อรองกันได้ พลิกผันได้ เช่นกัน!