จับเพิ่มอีก 4 รวม 20! แก๊งคอลเซ็นเตอร์หนีซุกกัมพูชา ‘โจ๊ก’ สั่งรุกต่อให้ครบแก๊ง 30 คน
“รองฯโจ๊ก – พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” แจงผลงานร่วมตำรวจกัมพูชา ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวบเพิ่ม 4 คนไทยร่วมแก๊งนรก! ทำหน้าที่โทรหลอกโอนเงิน พร้อมนำเข้าไทยดำเนินคดีหนักต่อไป เผย! ยอดจับรวมได้แล้ว 20 ราย ที่เหลือ 10 ราย มีแก๊งคนจีนอยู่เบื้องหลัง สั่งลุยต่อเอาให้เหี้ยน!
ความสำเร็จบนความร่วมมือระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ของไทย กับ หน่วยงานภาครัฐของทางการกัมพูชา โดยเฉพาะ กองบัญชาการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติกัมพูชา, สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติกัมพูชา และกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา มานำซึ่งการขยายผล จากคดี “ฆ่าปาดคอ” ภรรยาและบุตร 2 คน” ของนายสาณิช ดอกไม้ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.66 โดยมีสาเหตุความเครียดจากปัญหาหนี้สินค้ำประกันการซื้อรถให้เพื่อนบ้าน เป็นเงิน 8 แสนบาท จนถูกฟ้องและกรมบังคับคดีจะยึดบ้าน รวมถึงปมที่ภรรยาของเขาถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเป็นแอปฯ เงินกู้ และสูญเงินไปกว่า 1.7 ล้านบาท
นำสู่ความร่วมมือเชิงลึก! ระหว่าง 2 ประเทศ โดยที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2566 เพื่อประสานขอความร่วมมือกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา ติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดี “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา “ต้อตอ” หนึ่งของสาเหตุฆ่าปาดคอฯครั้งนี้ จากนั้น จึงได้มีการวางแผนร่วมกันระหว่างกำลังตำรวจของทั้งสองประเทศ เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
ล่าสุด ความคืบหน้าของเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ประเทศได้ประสานและร่วมกันติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่หลบหนีอยู่ในกัมพูชาได้อีก จำนวน 4 คน ประกอบด้วย 1.นายสุพล อายุ 21 ปี หัวหน้าคนไทยควบคุมพนักงานคอลเซ็นเตอร์ฝั่งกัมพูชา และจัดหาบัญชีธนาคารของผู้อื่น (บัญชีม้า) 2.น.ส.นิศารัตน์ อายุ 22 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์ 3.น.ส.กนกพร อายุ 19 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์ และ 4.น.ส.กรกนก อายุ 19 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
ทั้งนี้ จากการเข้าจับกุมผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดของกลาง อาทิ โทรศัพท์มือถือ, บัตร ATM, สมุดบัญชีธนาคาร และอื่นๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 รายการ และเงินสดจำนวนกว่า 240,000 บาท โดยคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้ออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้วทั้งสิ้น 30 หมายจับ สามารถจับกุมได้ 16 ราย โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ ได้มีการจัดแบ่งหน้าที่กัน กล่าวคือ กลุ่มเจ้าของบัญชีม้ารับโอนเงิน จำนวน 16 ราย จับกุมได้ 9 ราย หลบหนี 7 ราย, กลุ่มผู้ถอนเงิน จำนวน 4 ราย จับกุมได้ 2 ราย หลบหนี 2 ราย, กลุ่มจัดหาบัญชีม้า จำนวน 2 ราย จับกุมได้ 2 ราย, กลุ่มพนักงานในคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 6 ราย หลบหนี 6 ราย (อยู่ในกัมพูชา) และ กลุ่มชาวจีน ผู้ควบคุมพนักงานในคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย หลบหนี 2 ราย (อยู่ในกัมพูชา)
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากคดีฆ่าปาดคอคนในครอบครัวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ของ สภ.บางแก้ว ซึ่งสาเหตุมาจากหนี้สินหลายอย่าง รวมทั้งการถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งหลอกโอนเงินผ่านแอปฯ เงินกู้ หลังจากที่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งขบวนการที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวทั้งหมด ตั้งแต่บัญชีม้า จนถึงหัวหน้าขบวนการชาวจีน มากถึง 30 ราย โดยจับกุมแล้ว 12 ราย และสืบทราบว่ากลุ่มเหล่านี้ตั้งออฟฟิศอยู่ที่ปอยเปต กัมพูชา จึงได้ประสานงานกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา เพื่อทลายจุดคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
“ความร่วมที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา ทำให้เราสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้เพิ่มเติมอีก 4 ราย ซึ่งทำหน้าที่โทรหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงิน โดยจะนำตัวกลับไทย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และหลังจากนี้ ฝ่ายไทยจะได้ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชา เพื่อทำการติดตามและจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่ทั้งหมด และนำตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุ.