DSI ส่งฟ้อง 5 นอมินี ‘ไชน่า เรลเวย์ฯ’ – ยื่น ป.ป.ช. ฟัน ‘จนท.รัฐ’ เอี่ยวฮั้วประมูล

รองอธิบดีดีเอสไอ เผย สรุปสำนวนคดีนอมินี บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ ก่อสร้างตึก สตง.ถล่ม! ส่งอัยการสั่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหา – ส่วนคดีฮั้วประมูลส่ง ป.ป.ช.เอาผิด เจ้าหน้าที่รัฐ
วันนี้ (26 พ.ค.) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ อาคารเอ กรุงเทพฯ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พร้อมด้วย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะ โฆษกดีเอสไอ พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือ กองคดีฮั้วประมูล และ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 สรุปสำนวน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือคดีนอมินี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมความเห็นเสนออัยการสั่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหา คือ นายประจวบ ศิริเขตร , นายโสภณ มีชัย , นายมานัส ศรีอนันท์ (3 คนไทย) นายชวนหลิง จาง กรรมการชาวจีน 1 ราย และ นายบินลิง วู นายทุนชาวจีน 1 ราย (อยู่ระหว่างหลบหนี) ซึ่งในคดีนี้มีพยานเอกสารกว่า 17,620 แผ่น จำนวน 46 แฟ้ม
ร.ต.อ.สุรวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการสรุปรายละเอียดให้ฟังว่าคดีพิเศษที่ 32/2568 เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตึก สตง.ถล่ม ซึ่งดีเอสไอ ดำเนินการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วในส่วนของความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ มาตรา 36 มาตรา 37 และมาตรา 41 ส่วน ผู้ต้องหา นายบินลิง วู ที่อยู่ระหว่างหลบหนี ดีเอสไอ มีการประสานงานกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เบื้องต้นยังหลบอยู่ในประเทศไทย มั่นใจว่าอีกไม่นานคงจะได้ตัวมาดำเนินคดี เมื่อจับกุมตัวได้เมื่อใด ก็จะนำตัวผู้ต้องหาพร้อมคำให้การส่งไปยังพนักงานอัยการในภายหลัง และขณะนี้เจ้าตัวยังไม่ได้มีการประสานขอเข้ามอบตัวแต่อย่างใด
ร.ต.อ.สุรวุฒิ เผยอีกว่า จากการทำสำนวนสอบสวนในตลอดเวลาที่ผ่านมา ดีเอสไอมีความมั่นใจว่าเนื้อหามีความครบถ้วนภายในระยะเวลา ซึ่งตอนนี้พนักงานอัยการจะมีเวลาในการพิจารณาเนื้อหาสำนวนของดีเอสไอระยะเวลาหนึ่งฝาก หรือ 12 วัน โดย 3 นอมินีคนไทย ซึ่งถูกดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาตามกฏหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้น พวกเขาได้มีการส่งคำให้การที่เป็นรายละเอียดปีกย่อย ซึ่งมันสอดคล้องกับคำให้การที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้มีคำให้การที่เป็นประโยชน์ ซึ่งคำให้การส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง แต่ก็เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน อีกทั้งพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนจึงมีความเห็นสั่งฟ้องทั้งหมด
“นอกจากนี้ ในส่วนของ 17 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้น ดีเอสไอจะแยกทำสำนวนต่อไป เนื่องจากมีผู้ต้องหาชาวไทย 3 ราย ไปถือหุ้นในบริษัทอื่นในลักษณะคล้ายกัน จึงทำให้ดีเอสไอต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้น จึงคาดว่าจะแยกเป็นอีกหนึ่งคดีพิเศษ เพื่อตรวจสอบ 17 บริษัทเหล่านี้ โดยจะต้องไปตรวจสอบรายละเอียดโครงการที่บริษัทเหล่านี้ได้ประมูลไป”
ร.ต.อ.สุรวุฒิ เผยต่อว่า ดีเอสไอได้มีการประสานข้อมูลสัญญา 3 ฉบับ เกี่ยวกับโครงการก่อสร้าง สตง. ไปยัง ป.ป.ช. คาดว่าจะส่งรายละเอียดให้ภายในสัปดาห์นี้ รวมถึงได้มีการประสานความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นคดีที่มีการกล่าวหาองค์กรอิสระและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. โดยดีเอสไอจะต้องนำส่งให้ภายในกรอบเวลา 30 วัน โดยเบื้องต้นเกี่ยวข้องกับกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกันในส่วนของตำแหน่งหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอต้องส่งรายละเอียดให้ ป.ป.ช. เนื่องจากมีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ อีกทั้งทราบว่า ป.ป.ช. มีการตั้งเรื่องไต่สวนไว้แล้วบางส่วน
“ก่อนหน้านี้ ดีเอสไอได้มีการกล่าวหาในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีบทบาทควบคุมงาน จำนวน 6 ราย ส่งไปยัง ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ในเวลานี้ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกัน และตามกฎหมายของ ป.ป.ช. มาตรา 30 ได้กำหนดให้ดีเอสไอต้องส่งสำนวนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐให้ ส่วนกฎหมายจะมอบหมายให้ดีเอสไอทำอย่างไรก็ถือเป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าหากมอบหมายมาให้ทำ เราก็ยินดีทำ หรืออีกกรณีหากจะมอบหมายให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษไปร่วมเป็นคณะอนุฯ ทางเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพื่อให้ความสนับสนุน” รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุและย้ำว่า…
สำหรับเอกสารจำนวนมากที่ได้มาจากการตรวจค้นร่วมบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ก็ยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นต้น มีการแลกเปลี่ยนเอกสารระหว่างหน่วยงานตลอด มีความคืบหน้าอย่างไรก็จะเรียนแจ้งกันให้รับทราบ เพราะยังมีการแลกเปลี่ยนเรื่องเอกสารต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผลตรวจคุณภาพวัสดุต่างๆ ทั้งนี้ ในส่วนของอีก 10 กว่าโครงการอื่น ๆ ที่กิจการร่วมค้า ITD-CREC ประมูลไปได้ นั้น ดีเอสไอจะมีการขยายผลตรวจสอบต่อไปเช่นเดียวกัน จะต้องดูรายละเอียดว่าพบความผิดใดบ้างหรือไม่.