GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 1 ปีนี้ 4,152 ล้านบาท

GULF รับรู้ Core Profit ไตรมาส 1/2567 จำนวน 4,152 ล้านบาท เติบโต 13% YoY พร้อมมุ่งหน้าเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อต่อยอดอนาคตธุรกิจ Data center, Cloud และ AI

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 โดยมีรายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 32,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จาก 26,994 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) อยู่ที่ 4,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จาก 3,668 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 และ 2 (กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์) ไปเมื่อเดือนมีนาคมและตุลาคม 2566

อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์) ไปเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ GULF รับรู้กำไรจากการดำเนินงานเต็มไตรมาสของ GPD หน่วยที่ 1 และ 2 และเริ่มรับรู้ผลกำไรจาก HKP หน่วยที่ 1 ในไตรมาสนี้

นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากกลุ่ม GJP ในไตรมาส 1/2567 จำนวน 542 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากโรงไฟฟ้า SPP 7 โครงการมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญคือจาก 469 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2566 เป็น 351 บาท/ล้านบีทียู

ในไตรมาสนี้ ถึงแม้โรงไฟฟ้า GNS ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม GJP มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Inspection) ในระหว่างไตรมาส 1/2567 นี้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงไฟฟ้า SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีผลการดำเนินงานที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงถูกชดเชยจากโรงไฟฟ้าในกลุ่มที่หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (C-Inspection)

นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมานจำนวน 193 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาส 1/2566 ซึ่งเป็นผลจากปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำจืดของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย

ในไตรมาส 1/2567 นี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 1,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 329 ล้านบาท หรือ 26% จาก 1,247 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ AIS ที่ดีขึ้นจากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น เน้นขายแพ็คเกจที่มีมูลค่าเพิ่ม เป็นผลให้รายได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 1/2567 จำนวน 9,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ 8,143 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 ในขณะที่กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 9% จาก 3,850 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2566 โดยมีสาเหตุมาจากการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจาก 34.39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 4/2566 เป็น 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 472,868 ล้านบาท หนี้สินรวม 324,563 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 148,306 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.70 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.69 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

างสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25-30% จากโครงการที่ทยอยเปิดดำเนินการในปีนี้ ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามกำหนด และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ HKP หน่วยที่ 1 (770 เมกะวัตต์) ก็ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามกำหนดเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน สำหรับโครงการ GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 31 ตุลาคม 2567

นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจก๊าซ HKH ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทฯ ถือหุ้น 49% ได้เริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันแล้วจำนวน 190,000 ตัน เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า HKP หน่วยที่ 1 อีกทั้งมีแผนจะนำเข้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 450,000 ตัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้นประมาณ 8,500 เมกะวัตต์ ใน 5 ประเทศ และมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 เมกะวัตต์ ส่วน การพัฒนาธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการประมาณเดือนมีนาคม 2568.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password