ปีทองอสังหาฯ “ภูเก็ต” ผู้ประกอบการดาหน้า “ผุดบ้านตากอากาศหรู” จับต่างชาติ
ผู้ประกอบการ อสังหาฯ ดาหน้า ลงทุนผุดบ้านหรู พื้นที่ ตากอากาศ จ.ภูเก็ต หวังกำลังซื้อ คนไทยและต่างชาติ จับจองเป็นที่พัก กลายเป็นตลาด ที่มีการแข่งขันสูง ทั้ง เอพี ไทยแลนด์, แลนด์แอนด์เฮ้าส์, แสนสิริ, เอสซี แอสเสท และ ศุภาลัย วางแผนเดินหน้าลงทุน เต็มลูกสูบ
เริ่มจากจาก แสนสิริ และ ศุภาลัย ที่ผุดโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม หลายโครงการปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์มานานแล้ว ล่าสุดเพิ่งเปิดขายโครงการใหม่กันต่อเนื่อง ขณะที่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เปิดขายโครงการบ้านจัดสรรหลายระดับ ราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปถึงมากกว่า 30 ล้านบาทต่อยูนิตในภูเก็ตมาหลายปีแล้ว และ อาจจะมีโครงการใหม่ในอนาคต พฤกษา เรียลเอสเตท ก็มีโครงการบ้านจัดสรรหลายโครงการ หลายรูปแบบและระดับราคาในภูเก็ต เพื่อรองรับกำลังซื้อที่แตกต่างกัน ผู้ประกอบการรายใหญ่อีกรายอย่าง ซีพีเอ็น เรซซิเด้นซ์ ก็เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกในภูเก็ต ในช่วงระดับราคา 3-6 ล้านบาทต่อยูนิต
ลากูน่า พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งที่ดินขนาดใหญ่ และ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบ หลายระดับราคา คอนโดมิเนียมที่ระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปถึงมากกว่า 70 ล้านบาทต่อยูนิต และยังมีการพัฒนาโรงแรม รีสอร์ตอีกหลายแห่ง หลายระดับราคาเช่นกัน
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศว่า ปี พ.ศ.2566 ใช้งบซื้อที่ดินในจังหวัดภูเก็ตไปกว่า 2,000 ล้านบาท มากที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่กรุงเทพมหานคร โดยจะเปิดโครงการใน 5 ทำเลทางฝั่งตะวันตกของภูเก็ต ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรม ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และคาดว่าจะใช้เวลาพัฒนา 3-4 ปี ทยอยพัฒนาเป็นส่วนๆ มูลค่าลงทุนในแต่ละส่วนประมาณ 1,000 ล้านบาท
ซิซซากรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนรายหนึ่งที่มีการลงทุนที่ภูเก็ต พังงา และนครศรีธรรมราชหลายโครงการ อาจจะไม่ใช่รายใหญ่ แต่ในปี พ.ศ.2566 ยังมีการลงทุนพัฒนาเพิ่มเติมอีก 4 โครงการ ทั้งโครงการโรงแรม ที่อยู่อาศัย และเมดิคัลเซ็นเตอร์ในภูเก็ต และนาใต้ พังงา รวมมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท
โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต พัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศระดับ Luxury ในภูเก็ต 4 โครงการแล้วปิดการขายแทบทุกโครงการ แม้ว่าระดับของราคาขายจะมากกว่า 20 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปก็ตาม นอกจากนี้โบทานิก้ายังมีผู้ซื้อส่วนหนึ่งที่เป็นต่างชาติด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายต้องการขยายฐานรายได้จากการขายที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมในภูเก็ต ให้สร้างรายได้แบบต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ 1-2 โครงการแล้วก็หายไป การร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน หรือ ผู้ประกอบการท้องถิ่นจึงเป็นอีก 1 ทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะได้อาศัยทั้งกำลังทรัพยากรบุคคลและความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงความเข้าใจในตลาดและฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่แล้ว โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แอสเซทไวส์ ประกาศร่วมทุนกับทาง โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทางแอสเซทไวส์จะร่วมลงทุน 30% ในโครงการ BOTANICA Grand Avenue บนพื้นที่กว่า 178 ไร่ เพื่อพัฒนาบ้านระดับ Luxury กว่า 200 ยูนิต โบทานิก้าเป็นผู้ประกอบการในภูเก็ตที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงที่ผ่านมา โครงการของทางโบทานิก้าที่เปิดขายมาก่อนหน้านี้ก็ได้รับความสนใจและปิดการขายต่อเนื่อง มีผู้ซื้อทั้งไทยและต่างชาติ
จากนั้นปี 66 แอสเซทไวส์ ก็ได้ขยายฐานลูกค้าในภูเก็ตแบบระยะยาว เข้าซื้อหุ้นกว่า 57.79% ของ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ากว่า 1,042,923,750 บาท ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2566-2569 ประมาณ 10,000 ล้านบาท และวางแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินกว่า 80 ไร่เพื่อพัฒนาโรงแรม และขยายเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวมากขึ้นในอนาคต
ดังนั้น ภูเก็ต จึงเป็นหนึ่งในตลาดที่ผู้ประกอบการพยายามหาช่องทางเข้ามาเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่อง และไม่ได้หวังเพียงกำลังซื้อจากคนในพื้นที่หรือกำลังซื้อของคนไทยเท่านั้น กำลังซื้อของชาวต่างชาติก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาที่ภูเก็ตเป็นกลุ่มของนักท่องเที่ยวซึ่งสามารถใช้จ่ายได้มากกว่าคนที่เลือกไปเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอื่นๆ ของประเทศไทย บ้านพักตากอากาศหรือวิลลา รวมไปถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาสูง แต่อยู่ในทำเลที่ดี ไม่ไกลจากชายหาด หรือสามารถเห็นวิวทะเลได้โดยตรงจากโครงการ หรือมีรูปแบบโครงการที่น่าสนใจก็จะได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติค่อนข้างมาก
ชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจในภูเก็ต มีทั้งชาวเอเชีย และ ชาติตะวันตก แต่ชาวจีน รัสเซีย และยุโรปอาจจะมีสัดส่วนที่มากกว่าชัดเจน นอกจากนี้โครงการที่ให้ผลตอบแทน 5-7% ในช่วงระยะเวลา 3-7 ปี หรือมากกว่านี้ ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่คนให้ความสนใจ โดยเฉพาะ กลุ่มของผู้ซื้อต่างชาติ ที่ไม่ได้ตั้งใจมาพักอาศัยระยะยาวในภูเก็ต เพียงแค่ต้องการบ้านหรือที่อยู่อาศัยในช่วงระยะเวลาไม่นานเพื่อพักร้อน หรือ หลบลมหนาว การซื้อที่อยู่อาศัย รูปแบบนี้ก็ตรงกับความต้องการของตลาดโครงการรูปแบบนี้จึงมีจำนวนมาก และหลายโครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างดี
ณัฎฐา คหาปนะ กก.ผจก.ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาและตัวแทนนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภูเก็ต เป็นตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อพักผ่อน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่อยู่บริเวณหาดบางเทามากถึง 45% รองลงมาเป็นที่หาดลายัน 31% และอื่นๆ กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่คือกลุ่มลูกค้ารัสเซียเป็นหลัก ที่มีสัดส่วน 50-60% ของกลุ่มลูกค้าทั้งหมด โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดที่มีสัดส่วน 15-20%
“สินค้าในภูเก็ตที่ได้รับความนิยมคือวิลลาและพูลวิลลาที่มีแนวโน้มสดใส โดยอุปสงค์และอุปทานเติบโตทั้งการซื้อและเช่า จากกำลังซื้อที่เกิดขึ้นพบว่าชาวต่างชาติบางคนสนใจซื้อบ้านที่ภูเก็ตไว้เป็นบ้านหลังที่สอง ในขณะที่บางคนสนใจเช่าวิลลามากกว่าคอนโดมิเนียม เพราะต้องการสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัว และยังสามารถปล่อยเช่า สร้างผลตอบแทนได้ 8-10% ต่อปี” ณัฏฐา กล่าว
ขณะที่ อรรถนพ พันธุกำเหนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซิซซา กรุ๊ป ระบุว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่ปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 มองว่านักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรม และที่อยู่อาศัย ทำให้เกิดการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่มผู้ซื้อหลักยังเป็นชาวรัสเซียถึง 80% เนื่องจากหนีภัยสงครามมาหาซื้อบ้านหลังที่สองในจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะตลาดพูลวิลลาระดับราคา 6-100 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้า อย่างไรก็ตามการลงทุนของผู้ประกอบการในปี 2566 นั้นพบว่ามีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะพูลวิลลามากขึ้น ทั้งจากผู้ประกอบการในท้องถิ่นและจากกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นตลาดแมส ระดับราคา 7-30 ล้านบาท โดยกระจายพัฒนารอบเกาะภูเก็ต
“หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย ตลาดพูลวิลลามียอดขายที่ดีมาก โดยทำเลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือโซนลากูน่าแถวหาดบางเทา หาดลายัน โซนถัดมาคือ ราไวย์ และในหาน ส่วนตลาดคอนโดฯ มีการพัฒนาน้อยกว่าเดิม เนื่องจากในช่วงวิกฤตโควิด-19 ดีมานด์หันมาซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านและวิลลามากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 20% ซึ่งราคาที่ดินที่สูงสุดปัจจุบันยังอยู่ที่ป่าตองในบางทำเล ราคาสูงถึงประมาณ 200 ล้านบาท/ไร่ ซึ่งภูเก็ตยังมีพื้นที่ให้พัฒนาพอสมควร แต่ด้วยดีมานด์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ผู้ประกอบการจะไม่แข่งขันสูงเหมือนเช่นในกรุงเทพฯ” อรรถนพ กล่าว
สำหรับ ซิซซา กรุ๊ป ประกาศเดินหน้าแผนปี 2566 เปิด 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ประกอบด้วย นาใต้ เมดิคอล เซ็นเตอร์ แอนด์ รีสอร์ต ศูนย์สุขภาพและความงาม ควบคู่ไปกับรีสอร์ตหรูระดับ 6 ดาว, ศูนย์สุขภาพและความงาม เมดิคอล เวลเนส รีสอร์ต ในพื้นที่โรงแรม “วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต”, พูลวิลลาบริเวณหาดลายัน และดิ เอท พูลวิลลา เฟส 2 บริเวณอ่าวฉลอง.