“สภาพัฒน์”แนะรัฐบาลใหม่ เร่งลงทุนสร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ
เลขาธิการ “สภาพัฒน์”แนะนำรัฐบาลใหม่ ต้องเร่งฟื้นฟูการส่งออกในปี 2566 ลงทุนสร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ ติงนโยบายเพิ่มค่าแรง จะกระทบต้นทุนผู้ประกอบการ ทำต่างชาติยกฐานการผลิตหนี
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ “สภาพัฒน์” กล่าวว่าภารกิจสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ ต้องหาทางฟื้นฟูการส่งออกในปี 2566 คาดว่าหดตัว 1.6% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว นับเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการหาตลาดใหม่ทดแทน การรักษาบรรยากาศการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะแนวทางส่งเสริมการลงทุน การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า หากรัฐบาลใหม่กำหนดชัดเจน จะดึงดูดการลงทุนไม่เบนเข็มหนีไปลงทุนประเทศอื่นแทน
สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่ยังล่าช้าในช่วงการเลือกตั้งมีอยู่ 2 ทางเลือก คือ แนวทางแรกรัฐบาลใหม่นำกรอบงบประมาณเดิม 3.55 ล้านล้านบาทหลังจาก 4 หน่วยงานหลัก กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สศช. สำนักงบประมาณจัดทำเอาไว้แล้วเบื้องต้นนำมาปรับปรุงเล็กน้อย เพื่อเร่งขับเคลื่อนเงินลงทุน แนวทางที่สอง รัฐบาลนำมาพิจารณาทบทวนทั้งหมด เพื่อประเมินรายได้ รายจ่าย รองรับการหาเสียง ยอมรับว่าการคาดการณ์ปัจจัยต่างๆ ไม่ต่างจากเดิมมากนัก เพราะมีข้อจำกัดหลายด้าน แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่จะเลือกแนวทางไหน เพราะส่วนหนึ่งต้องใช้เงินตามนโยบายที่หาเสียงไว้ สศช. ประเมินจากขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล คาดว่างบประมาณลงทุนปี 2567 จะอัดเงินเข้าระบบได้ในไตรมาสแรกปีหน้า
ในช่วงการรอเงินลงทุนงบประมาณรายจ่าย จึงต้องใช้งบลงทุนจากรัฐวิสาหกิจมาอัดฉีดเงินออกสู่ระบบแทน ผ่านการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ใช้งบลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เมื่อทุกรัฐวิสาหกิจเตรียมขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างเอาไว้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ใหม่พิจารณาช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม คาดจะมีเงินลงทุนสู่ระบบปลายปีได้ประมาณ2 แสนล้านบาท ขณะที่รัฐวิสาหกิจจัดทำงบตามปีปฏิทิน เสนอบอร์ดรัฐวิสาหกิจพิจารณาเงินลงทุนและครม.ชุดใหม่ได้ช่วงปลายปี 2566 คาดว่าเงินออกสู่ระบบได้ 2 แสนล้านบาท เพื่อรอเงินลงทุนจากงบประมาณรัฐบาลที่ยังล่าช้า จากการจัดการเลือกตั้ง
ในส่วนของนโยบายหาเสียง ในการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ ทั้งการเพิ่มค่าแรง การเพิ่มต้นทุนด้านต่างๆ อาจทำให้ผู้ประกอบการต้องผลักภาระไปยังราคาสินค้าเพิ่ม ส่งผลไปยังอัตราเงินเฟ้อเพิ่ม นักลงทุนต่างชาติอาจต้องคิดหนักจึงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ยืนยันว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยผ่านวิกฤตและเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 แล้ว หลายประเทศต้องกู้เงินมาเยียวยาเหมือนกับไทย จากนี้ไปต้องจัดทำนโยบายการเงินการคลัง นำไปสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุล หากปล่อยให้ขาดดุลงบประมาณเป็นเวลานาน สถาบันระหว่างประเทศจับตาอยู่ อาจกระทบต่อการจัดอันดับเครดิตประเทศ ส่งผลต่อเนื่องไปยังการกู้เงิน และกระทบอีกหลายด้าน
ทั้งนี้ รัฐบาลชุดใหม่ ยังต้องมุ่งก้าวข้ามปัญหากับดักรายได้ปานกลางของไทย ทั้งการยกระดับพัฒนาฝีมือแรงงาน การให้สวัสดิการรายย่อย ต้องหาทางส่งเสริมการสร้างรายได้ อาชีพเสริม การช่วยเหลือแบบตรงเป้าหมาย เพื่อให้ผู้รับสวัสดิการ หลุดพ้นจากการรับเงินช่วยเหลือเดิมๆ ไม่งั้น จะต้องจัดสรรงบประมาณดูแลเยียวยาไปเรื่อยๆ กระทบต่องบประมาณจำนวนมาก กระทบฐานะการคลังระยะยาว อนาคตข้างหน้ายังมีปัญหาเศรษฐกิจโลก ความขัดแข้ง.