กลุ่มอลิอันซ์รายงานความมั่งคั่งโลก ชี้ไทยมีสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีเป็นอันดับต้นๆในเอเชีย

อลิอันซ์ ​เผยรายงาน Global Wealth Report ฉบับที่ 13 วิเคราะห์สถานการณ์​ทรัพย์สินและหนี้ครัวเรือนในเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก ชี้สินทรัพย์ทางการเงินของโลกเพิ่มขึ้นแต่คาดว่าปี 65 จะลดลง 2% และภาคครัวเรือนลดลงถึง 1 ใน 10

เมื่อมองย้อนกลับไป ปี 2564 อาจจะเป็นปีสุดท้ายของ “ความปกติใหม่” ที่ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจากนโยบายทางการเงินครัวเรือนได้รับอานิสงค์จากเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยสินทรัพย์ทางการเงินโลกเพิ่มขึ้นในระดับตัวเลขสองหลักในปี 2564 ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 อยู่ที่ 233 ล้านล้านยูโร (หรือประมาณ 8.7 พันล้านล้าน) หรือ เพิ่มขึ้น 10.4% ในปีที่ผ่านมานี้ ความมั่งคั่งของภาคเอกชน เพิ่มขึ้นมากถึง 60 ล้านล้านยูโรหรือเท่ากับบวกตัวเลขคูณสองของกลุ่มยูโรโซนเข้าไปในสินทรัพย์ทางการเงินโลก

มีสามภูมิภาคที่โดดเด่นด้านการเติบโตของสินทรัพย์ ได้แก่ เอเชียไม่รวมญี่ปุ่น (+11.3) ยุโรปตะวันออก (12.2%) และอเมริกาเหนือ(+12.5%)ทวีปที่รวยที่สุดในโลกที่มีสินทรัพย์รวมต่อประชากรเท่ากับ 294,240 ยูโร  (หรือประมาณ 11 ล้านบาท) ค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 41,980 ยูโร (1.6 ล้านบาท) มีอัตราการเติบโตเท่ากับตลาดเกิดใหม่

ปี 2565 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสงครามในยูเครนทำให้การฟื้นตัวหลัง COVID-19 สะดุดและส่งผลกระทบไปทั่วโลก เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นพลังงานและอาหารขาดแคลน รวมถึงนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินครัวเรือนจะได้รับผลกระทบ โดยสินทรัพย์ทางการเงินระดับโลกมีแนวโน้มที่จะลดลงมากกว่า 2% และในปี 2565 นี้เองอาจจะเป็นอีกวิกฤติครั้งสำคัญของการเงินโลกแนวโน้มครึ่งปีดูจะไม่ค่อยสดใสมากนัก การเติบโตเพียงเล็กน้อยของสินทรัพย์ทางการเงินคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 4.6% จนถึงปี 2025 เทียบกับ 10.4% ในสามปีก่อนหน้านี้

ลูโดวิค เซอร์บราน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอลิอันซ์ กล่าวว่า “2564 เป็นจุดสิ้นสุดของยุค โดยสามปีหลังมานี้เป็นปีที่ดีมาก เป็นเหมือนขุมทรัพย์ของผู้มีเงินออมส่วนใหญ่ แต่หลังจากปี 2565 จะแตกต่างออกไปวิกฤตค่าครองชีพทำให้คนไม่มีความเชื่อมั่น ผู้กำหนดนโยบายจะเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในการรับมือกับวิกฤตพลังงาน รวมถึงการสร้างการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ในขณะที่นโยบายด้านการเงินเริ่มไปต่อไม่ได้

ช่วงสิ้นปี 2564 หนี้ครัวเรือนของโลกอยู่ที่ 52 ล้านล้านยูโร เพิ่มขึ้น 7.6% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 4.6% ครั้งสุดท้ายที่อัตราการเติบโตอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้ เกิดขึ้นในปี 2006 ก่อนหน้าวิกฤตการณ์การเงินครั้งใหญ่ โดยจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างสูงในช่วงต้นของการถดถอยของเศรษฐกิจโลกถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลในตลาดเกิดใหม่ หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราตัวเลขสองหลักในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาหรือมากกว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว

อย่างไรก็ตามระดับของหนี้โดยทั่วไปอาจดูเหมือนจะจัดการได้ แต่หากพิจารณาปัญหาใหญ่ระดับโครงสร้างที่ตลาดเหล่านี้กำลังเผชิญอยู่ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะนำไปสู่การเกิดวิกฤตหนี้สินทรัพย์รวมของภาคครัวเรือนเอเชียเพิ่มขึ้น 9.4% ในปี 2011 ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลจากจีนและญี่ปุ่น ซึ่งภาคครัวเรือนมีสินทรัพย์ 51% และ 25% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของภูมิภาคตามลำดับในขณะที่สินทรัพย์ทั้งหมดของจีนเพิ่มขึ้น 12.2% สินทรัพย์ครัวเรือนในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 4.2% 

 เช่นเดียวกันในทุกภูมิภาคของโลกหลักทรัพย์มีการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดากลุ่มสินทรัพย์ทั้งหมดโดยอยู่ที่ 13.5% รองลงมาได้แก่สินทรัพย์ประเภทประกันและบำนาญซึ่งเพิ่มขึ้น 8.1% ในขณะที่เงินฝากธนาคารที่สามอยู่ที่ 7.7% อย่างไรก็ตาม

เงินฝากยังคงเป็นกลุ่มสินทรัพย์หลักของพอร์ตโฟลิโอของสินทรัพย์รวมของครัวเรือนในเอเชียโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 48.9% หลักทรัพย์กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งจนมีสัดส่วนอยู่ที่ 31.0% สิ้นปี 2564 ในขณะที่สินทรัพย์กลุ่มประกันและบำนาญลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 18.4%

การถอนเงินบำนาญก่อนกำหนดและอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนประกันที่ลดลงช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อลดผลกระทบทางด้านการเงินของโรคระบาด ส่งผลกระทบระยะยาวต่อสินทรัพย์ครัวเรือนเนื่องจากผู้มีเงินออมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเพราะจะไม่สามารถเติมเต็มเงินเข้าไปได้ทันก่อนถึงวัยเกษียณ แม้สินทรัพย์โดยรวมจะเติบโตช้าลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ปริมาณหนี้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วขึ้นอยู่ที่ 10.3% ในปี 2564 ในกลุ่มประเทศเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น การเติบโตของเงินกู้สูงขึ้นอยู่ที่ 12.2% โดยมีราคาสินค้าในตลาดการเคหะที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อน เมื่อสิ้นปี 2564 สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีในเอเชียสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ 62.6% ไม่รวมหนี้ในภาคครัวเรือนในญี่ปุ่น

หากมองภูมิภาคเอเชียเป็นประเทศจะอยู่ในอันดับที่ 36 โดยมีสินทรัพย์ทางการเงินต่อประชากรสุทธิอยู่ที่ 11,780  ยูโร (หรือประมาณ 4 แสนบาท) หากไม่รวมสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิของครัวเรือนในญี่ปุ่นสินทรัพย์ทางการเงินต่อประชากรสุทธิในเอเชียจะอยู่ที่ 8,710 ยูโร (หรือประมาณสามแสนบาท) เท่านั้น

สินทรัพย์ทางการเงินรวมของภาคครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น 9.4% ใน 2564 จากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นเมื่อหลักทรัพย์กลับมาโตในระดับตัวเลขสองหลัก ในขณะเดียวกันเงินฝากธนาคารซึ่งยังคงเป็นมีสัดส่วนเป็นส่วนใหญ่ของสินทรัพย์ครัวเรือนอยู่ที่ 51% ของสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมด เพิ่มขึ้นเพียง 4.0% หลังจากเพิ่มขึ้น 10.6% ในปี 2020 ซึ่งเป็นปีแรกของ COVID-19 สินทรัพย์กลุ่มประกันชีวิตและบำนาญลดลงอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นเพียง 1.7% ในปี 2564

 การเติบโตของหนี้ครัวเรือนมีอัตราที่ชะลอตัวลงอยู่ที่ 3.8% ในปี 2564 แต่ยังคงสูงกว่าการเติบโตของจีดีพีจำนวนหนี้ต่อจีดีพีของภาคครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 90% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับต้นในภูมิภาค ในขณะเดียวกันอัตราหนี้ต่อสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น โดยมีหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ 55% ของสินทรัพย์ทางการเงินรวมในปี 2564 อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 28% ส่งผลให้สินทรัพย์ทางการเงินรวมเพิ่มขึ้น 17.0% ประเทศไทยยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศอันดับท้ายๆ จาก 45 ประเทศจากการจัดอันดับสินทรัพย์ทางการเงินต่อประชากรสุทธิโดยอยู่ที่ 4,450 ยูโร ในปี 2564 (หรือประมาณ 1.6 แสนบาท)

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password