SPCG กำไรครึ่งปีกว่า 1,254 ล้านบาท

SPCG เผยผลประกอบการงวด 6 เดือนหรือครึ่งแรก ปี 2565 มีกำไรสุทธิกว่า 1,254.1 ล้านบาท และรายได้รวมกว่า 2,019.1 ล้านบาท

นางวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” เปิดเผยผลประกอบการงวด 6 เดือนหรือครึ่งปีแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิกว่า 1,254.1 ล้านบาท และรายได้รวมกว่า 2,019.1 ล้านบาท

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลดำเนินงาน วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท จำนวน 1,055,790,000 หุ้น รวมเป็นจำนวนเงิน 263,947,500 บาท (สองร้อยหกสิบสามล้านเก้าแสนสี่หมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาท) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 30 สิงหาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 9 กันยายน 2564

ดร.วันดี เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขณะนี้ยังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยผลประกอบการครึ่งปีแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและให้บริการ จำนวน 2,019.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,254.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 1,483.6 ล้านบาท ในส่วนของรายได้ที่ลดลงเป็นผลอันเนื่องมาจากจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ จำนวน 190.2 ล้านหน่วย จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 36 โซลาร์ฟาร์ม ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 9 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 5 อย่างไรก็ตาม SPCG ยังคงเดินหน้านโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มทั้งในปัจจุบันและอนาคต ลดลงอย่างเป็นนัยสำคัญ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องและรักษากำไรของบริษัท

สำหรับธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) โดยบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ “SPR” (บริษัทในเครือ SPCG) มีรายได้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและกลยุทธ์ในการขาย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและทางเลือกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น

สำหรับ 2 โครงการใหญ่ที่ญี่ปุ่น ขณะนี้มีความคืบหน้ามากขึ้น โดยโครงการ Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ (MW) งบการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 178,758 ล้านเยน หรือประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 17.92% หรือคิดเป็นเงินจำนวน 9,000 ล้านเยน หรือประมาณ 2,700 ล้านบาท บริษัทจะชำระเงินงวดที่เหลือภายในปี 2565 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2567

ด้านโครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 67 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็น North Phase 23 เมกะวัตต์ (MW) และ South Phase 44 เมกะวัตต์ (MW) งบการลงทุนทั้งสิ้น 23,493 ล้านเยน หรือ ประมาณ 6,744 ล้านบาท โดย SPCG ถือหุ้น 10% คิดเป็นเงินจำนวน 314 ล้านเยน หรือประมาณ 91 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการเข้าไปร่วมทุนในไตรมาส 3 ปี 2564 เรียบร้อยแล้ว โดยโครงการดังกล่าวมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT 36 เยนต่อหน่วย ระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า North Phase 18.7 ปี และ South Phase 17.8 ปี โดยมี Kyushu Electric Power Co., Inc. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า ทั้งนี้สำหรับ North Phase ได้ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2564 ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และในส่วนของ South Phase คาดว่าสามารถ COD ได้ในช่วงเดือน ก.พ. 2566

“SPCG มั่นใจว่า โซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นทุกโครงการที่บริษัทลงทุน นอกจากจะสามารถช่วยลดสภาวะโลกร้อน หรือ Climate Change แล้ว ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับคืนมาให้บริษัทได้ในอนาคต” ดร.วันดีกล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังคงมองหาการลงทุนโครงการใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัท โดยจะเน้นไปที่พลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก โดยได้ตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password