‘อรรถพล’ ประกาศหนุน ‘ไฮโดรเจน’ สู่พลังงานแห่งอนาคตของไทย พร้อมเปิดช่องเอกชนร่วมพัฒนา

“รมว.พลังงาน” ประกาศเดินหน้าผลักดัน “ไฮโดรเจน” เป็นพลังงานแห่งอนาคตของไทย เตรียมบรรจุไว้ในแผน PDP ประกาศให้เป็น “น้ำมันเชื้อเพลิง” ตามกฎหมาย หวังปูทางสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 พร้อมเปิดทางเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนาไฮโดรเจน
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน กล่าวตอนหนึ่ง ระหว่างปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ไฮโดรเจน โอกาสทางเศรษฐกิจและความอยู่รอดของประเทศไทย” จัดโดย คณะกรรมาธิการพลังงาน วุฒิสภา ว่า “ไฮโดรเจน” คือพลังงานทางเลือกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเป็นกุญแจหลักในการก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์โลกที่ผันผวน ทั้งด้านพลังงาน ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ให้เร็วขึ้นจากปี 2065 เป็นปี 2050 พร้อมกำหนด ยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคงทางพลังงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในราคาที่เหมาะสม และการสร้างความยั่งยืนด้วยพลังงานคาร์บอนต่ำ โดยหนึ่งในแนวทางสำคัญคือ การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ เช่น ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเทคโนโลยี SMR ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
รมว.พลังงงาน ย้ำว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจน โดยเฉพาะใน ภาคพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งต้องการพลังงานในปริมาณมาก ซึ่ง ร่างแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ ได้กำหนดแนวทางสนับสนุนอย่างชัดเจน โดยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ตั้งเป้าเริ่มผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 5% ภายในปี 2030 ขณะที่ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ตั้งเป้าใช้ไฮโดรเจนเชิงความร้อนในภาคอุตสาหกรรม 10 KTOE และภาคขนส่ง 4 KTOE ภายในปี 2037
“เพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการประกาศให้ “ไฮโดรเจน” และ “แอมโมเนีย” เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 พร้อมจัดทำ มาตรการสนับสนุนด้านการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อเปิดทางให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา” นายอรรถพล กล่าว ก่อนจะทิ้งท้ายว่า…
การผลักดันไฮโดรเจนไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างธุรกิจใหม่ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางไฮโดรเจนสีเขียวของอาเซียน ซึ่งจะทำให้ประเทศก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างมั่นคงและเป็นธรรม.






