‘เจ้าสัวธนินท์’ ครองแชมป์อภิมหาเศรษฐีไทยปี 64 ติดอันดับ 137 เศรษฐีโลก

ฟอร์บส์จัดอันดับเศรษฐีโลกปี 65 “อีลอน มัสก์” คว้าอันดับ 1 เศรษฐีโลก ขณะ “เจ้าสัวธนินท์” ผงาดเบอร์หนึ่งรวยที่สุดในไทย และอันดับ 137 บนทำเนียบเศรษฐีโลก โดยมี “ราชันย์น้ำเมา” ติดอันดับ 156 ของโลก ตามมาติดๆ

วันที่ 6 เม.ย.65 นิตยสารฟอร์บส์ ประกาศการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก “The World’s Billionaires” หรือ ผู้มีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไป ประจำปี 2565 โดย นายอีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนักลงทุนชาวอเมริกัน-แอฟริกาใต้ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทแห่งบริษัท Tesla ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินทั้งสิ้น 219,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้า เจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้ง บริษัทค้าปลีกออนไลน์แอมะซอน

ฟอร์บส์รายงานว่าในปีนี้ สงคราม, โรคระบาด และตลาดที่ซบเซาส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีโลก โดยมีมหาเศรษฐี 2,668 คน น้อยกว่าปีที่แล้ว 87 คน พวกเขามีทรัพย์สินมูลค่ารวมกัน 12.7 ล้านล้านดอลล่าร์ หรือ น้อยกว่าในปี 2564 ถึง 4 แสนล้านดอลลาร์ การลดลงอย่างน่าตกตะลึงนี้เกิดขึ้นมากที่สุดในประเทศรัสเซีย ซึ่งมีมหาเศรษฐีลดลง 34 คนจากปีที่แล้ว หลังจากการบุกยูเครนของวลาดิมีร์ ปูติน

อย่างไรก็ตามมีเศรษฐีพันล้านมากกว่า 1,000 คนที่ร่ำรวยขึ้น และมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่ 236 ราย อเมริกายังคงเป็นผู้นำของโลก โดยมีมหาเศรษฐี 735 คน ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่ารวม 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึง อีลอน มัสก์ ขณะที่ ประเทศจีน (รวมถึงมาเก๊าและฮ่องกง) ยังคงเป็นอันดับสอง โดยมีมหาเศรษฐี 607 คน มูลค่าทัรพย์สินรวม 2.3 ล้านล้านดอลลาร์

สำหรับการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลกประจำปีนี้มีคนไทยติดอันดับรวมทั้งสิ้น 28 ราย หนึ่งในนั้นคือ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) บริษัทชั้นนำของไทย โดยอยู่ในอันดับที่ 137 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 405,000 ล้านบาท โดยลดลงจากปี 2564 ซึ่งติดอันดับที่ 103 มีทรัพย์สินรวม 18,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 543,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีนายเจริญ เจริญสิริวัฒนภักดี อันดับที่ 156 มีทรัพย์สินรวม 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 360,000 ล้านบาท, นายสารัชถ์ รัตนาวะดี อันดับที่ 161 มีทรัพย์สินรวม 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 354,000 ล้านบาท

รายงานข่าวจากเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือเครือซีพี เปิดเผยว่า เครือซีพีดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืนและยึดมั่นในปรัชญา “3 ประโยชน์” ประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นอันดับแรก ถัดมาคือประชาชน และผลประโยชน์ของบริษัทเป็นอันดับสุดท้าย บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ความสุจริต และความเป็นธรรม โดยในปี 2563 เครือเจริญโภคภัณฑ์นำส่งภาษีเข้ารัฐ 22,475 ล้านบาท และมีการจ้างงานพนักงานในเครือรวม 149,978 ล้านบาท.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password