‘รมช.อุตฯ’ แนะ ธพว. หนุน SME เข้าถึงแหล่งทุนอย่างมีประสิทธิภาพ – ชี้! ‘กลุ่มไปต่อไม่ได้’ เปลี่ยนไลน์ธุรกิจด่วน!
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/COVER-รมช.อุตฯSME-D-BANK.jpg)
รมช.อุตสาหกรรม “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” เร่งจัดชั้นกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หวังแยกน้ำดี-น้ำเสีย พร้อมขยายวงเงินกู้จาก 50 เป็น 100 ล้าน หวังอัพเกรดการดำเนินงานสอดรับกระแสโลกด้านสิ่งแวดล้อม แนะ “กลุ่มที่ไปต่อไม่ได้” ควรเปลี่ยนสายงานธุรกิจรับเทร็นด์ตลาดโลก เผย! มอบนโยบาย SME D Bank เน้นสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและทั่วถึง รับแผน Thailand Vision ดันไทยขึ้น 8 ศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค พร้อมยกระดับองค์กร สร้างกลไกขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ด้าน SME D Bank พร้อมชูเรือธง “เติมทุนคู่พัฒนา”
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/รมช.อุตฯ.jpg)
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ถึงแนวทางการจัดชั้น (คัดกรอง) กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เพื่อที่ภาครัฐจะได้วางแผนในการช่วยเหลือได้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการฯ และแนวโน้ม/ทิศทางของตลาดให้มากยิ่งขึ้น โดยย้ำว่า ขณะนี้ ทาง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) อยู่ระหว่างการแบ่งกลุ่ม แยกเป็น… กลุ่มที่มีโอกาส/อนาคตที่ดี (กลุ่มรอด) ซึ่งกลุ่มนี้ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด แต่ กลุ่มที่กำลังจะมีปัญหา (ยังไม่รอด) และ กลุ่มที่มีปัญหาแล้ว (ไม่รอด) ก็จะต้องกลับมาดูว่า ภาครัฐจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ ทาง ผอ.สศค. รับปากว่าภายใน 1 ปี จะดำเนินการคัดกรองกลุ่มผู้ประกอบกอบเอสเอ็มอีให้แล้วเสร็จในเบื้องต้น ซึ่งขณะนี้ ดำเนินการมาได้แล้วราว 6 เดือน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเอง ก็มีข้อมูลพื้นฐานแยกตามรายอุตสาหกรรมอยู่แล้ว จำเป็นจะต้องนำข้อมูลทั้งหมดมาอยู่ร่วมกัน เพื่อพิจารณาการปล่อยสินเชื่อได้ตรงกับกระแสความต้องการของโลก โดยเฉพาะทางด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล) อันจะเป็นการรักษาคนไข้ได้ตรงจุดและถูกอาการได้มากขึ้น โดยประเด็นการปล่อยสินเชื่อนั้น ทาง กระทรวงอุตสาหกรรม และ SME D Bank จะต้องทำงานกันอย่างใกล้ชิด
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/รมช.อุต-หมู่.jpg)
สำหรับข้อแนะนำกับกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีปัญหานั้น รมช.อุตสาหกรรม ระบุว่า ทาง สศอ.จะพิจารณาว่าที่ไปต่อไม่ได้นั้นเป็นเพราะอะไร หากจะเปลี่ยนสายธุรกิจจากสายเดิมไปสายธุรกิจใหม่ๆ จะทำได้หรือไม่? โดยเฉพาะในเทร็นด์ของอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีอนาคตดีกว่า ซึ่งหากทำได้ ทาง SME D Bank ก็น่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการฯเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม และ SME D Bank กำลังพิจารณาการขยายวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการฯใน 2 กลุ่มแรก โดยปรับวงเงินกู้จากเดิม 50 ล้านบาทเป็น 100 ล้านบาท รองรับการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน โดยเฉพาะการที่ปรับปรุงกระบวนการผลิตรองรับกติกาใหม่ของโลก โดยเฉพาะการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน ESG เช่น หากผู้ประกอบการสนใจจะทำการติดตั้ง “โซลาร์รูฟท็อป” (พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์) ก็สามารถติดต่อขอรับการสนับสนุนได้จากกระทรวงอุตสาหกรรม
“การเดินทางมาตรวจเยี่ยมในวันนี้ ก็หวังจะมานำเรียนไปยังผู้บริหารของ SME D Bank แม้ว่าทางแบงก์จะมีโครงการดีๆ ที่คอยช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อมีเงิน (สินเชื่อ) สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้คน (ผู้ประกอบการฯ) เข้าถึงแหล่งเงินให้มากที่สุด มีเงินไม่สำคัญเท่ากับมีคนเข้าไปใช้เงิน และจะให้เข้าไปใช้เงินได้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ SME D Bank ก็ต้องเป็นพี่เลี้ยงให้เขาด้วย วันนี้ SME D Bank ไม่ได้เป็นแค่เพียงแหล่งเงิน แต่ยังเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้ประกอบการฯด้วย ประเด็นนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทางมาตรวจเยี่ยม SME D Bank ในวันนี้ และอยากให้เห็นเป็นภารกิจสำคัญลำดับต้นๆ” รมช.อุตสาหกรรม ย้ำ
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/ภาพหมู่.jpg)
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นางสาวพิมพ์ภัทรา ได้มอบนโยบายการทำงานแก่ คณะกรรมการ และคณะผู้บริหาร SME D Bank ให้เดินหน้าสนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับ Thailand Vision ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใน 8 ด้าน ได้แก่ การท่องเที่ยว การแพทย์-สุขภาพ อาหาร การบิน การขนส่ง ยานยนต์อนาคต ดิจิทัล และการเงิน โดยให้บริการด้านการพัฒนาควบคู่กับการให้สินเชื่อ พร้อมเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรภายในและภายนอกกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ขอให้ SME D Bank นำแนวทาง “รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง” มายกระดับขั้นตอนการทำงาน หมายถึง รื้อ ลด และปลด สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี พร้อมกับสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอี เช่น การพัฒนาศูนย์ One Stop Service สำหรับให้บริการกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการ และมุ่งสู่การเป็น Digital Banking โดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ ธนาคารจะต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูล Data Warehouse และระบบ Core Banking System (CBS) ที่ธนาคารพัฒนาขึ้น เพื่อนำไปวิเคราะห์ วิจัย และประมวลผลให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (SME Insight) สำหรับกำหนดเป็นนโยบายสนับสนุนเอสเอ็มอีต่อไป
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/เดชา001-1.jpg)
นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank พร้อมขานรับดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านกระบวนการ “เติมทุนคู่พัฒนา” ช่วยเอสเอ็มอีเติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยด้าน “การเงิน” จัดเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอี วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนนานพิเศษสูงสุด 15 ปี และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 24 เดือน ช่วยลดภาระทางการเงิน อีกทั้ง ใช้กลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนกลุ่มที่ไม่มีหลักประกันให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ขณะเดียวกัน พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
โดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา SME D Bank ดูแลช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง สามารถพาเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว่า 231,250 ล้านบาท ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 1 ล้านล้านบาท และช่วยรักษาการจ้างงานได้กว่า 752,345 ราย ควบคู่กับช่วยพัฒนาเสริมศักยภาพเอสเอ็มอีกว่า 75,000 ราย อีกทั้ง ช่วยเหลือผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน (ฟ้า-ส้ม) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กว่า 83,520 ราย วงเงินรวมกว่า 145,240 ล้านบาท
![](https://yutthasartonline.com/wp-content/uploads/2024/03/รษก.jpg)
ด้าน นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการ แทนกรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวเสริมว่า SME D Bank พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยออกมาตรการต่าง ๆ เช่น พักชำระหนี้เงินต้น 1 ปี โดยระหว่างพักชำระเงินต้นจะได้ลดดอกเบี้ย 1% ต่อปี นอกจากนั้น ยังได้ยกดอกเบี้ยผิดนัดให้ทั้งหมด และหากปิดบัญชี ลดดอกเบี้ยค้างให้ 100% เป็นต้น สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568 ณ สาขา SME D Bank ที่ใช้บริการสินเชื่อ
ส่วนภารกิจด้าน “การพัฒนา” เพื่อยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี นั้น จะดำเนินงานผ่าน โครงการ SME D Coach ที่เชื่อมโยงการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 50 แห่งมาไว้ในจุดเดียว เน้นเติมความรู้ใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การตลาด 2.มาตรฐาน พัฒนาผลิตภัณฑ์ 3. เทคโนโลยีและนวัตกรรม 4. การเงิน เขียนแผนธุรกิจ บัญชี ภาษี 5.การผลิต และ 6.บ่มเพาะเตรียมพร้อมเข้าสู่แหล่งทุน ทั้งนี้ ในปี 2567 SME D Bank ยังคงเดินหน้ากระบวนการ “เติมทุนคู่พัฒนา” พร้อมยกระดับนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการเอสเอ็มอีได้คลอบคลุม และกว้างขวางยิ่งขึ้น.