ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ย. 68 ขยับขึ้นต่อเนื่อง อยู่ในโซน ‘เชื่อมั่น’ แต่ยังต้องลุ้นปัจจัยเสี่ยงปลายปี

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 51.8 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 จากแรงหนุนโครงการคนละครึ่ง พลัส และมาตรการ Quick Big Win ของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันสำคัญ ทั้งความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา ราคาพืชเกษตรตกต่ำ ภาระหนี้ครัวเรือน และสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งอาจส่งผลต่อดัชนีในช่วงต่อไป ภาครัฐย้ำเดินหน้ามาตรการสร้างความเชื่อมั่น ฟื้นกำลังซื้อ และติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,456 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ระดับ 51.8 จากการเริ่มใช้โครงการคนละครึ่ง พลัส อย่างเป็นทางการ รวมถึงความคาดหวังต่อภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สำคัญในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่ต่ำกว่าปีก่อนหน้าและสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อดัชนีฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ เหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ยังคงเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจส่งผลต่อดัชนีฯ ภาพรวมในระยะถัดไป

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 51.8 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 (เดือน ต.ค.68 อยู่ที่ระดับ 50.9) สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 58.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 57.6 ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับเชื่อมั่น คาดว่ามาจาก (1) การเดินหน้าขับเคลื่อน Quick Big Win ของภาครัฐ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือทั้งประชาชนและภาคธุรกิจที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมสภาพคล่องและลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและผู้ประกอบการ ส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวม (2) การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ประกอบกับนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศของภาครัฐ ช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้ของภาคธุรกิจการค้าและบริการ และ (3) ภาคการส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดี
จากอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับภาครัฐเร่งดำเนินมาตรการทางการค้าเพื่อสนับสนุนการส่งออกให้เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 42.6 แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.9 ในเดือนก่อนหน้า แต่มีค่าต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งยังอยู่ในช่วงไม่เชื่อมั่น โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับไม่เชื่อมั่น คาดว่ามาจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลต่อภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาพืชเกษตรสำคัญของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมาส่งผลต่อรายได้เกษตรกร สถานการณ์น้ำท่วม และสถานการณ์ ความขัดแย้งชายแดนไทย – กัมพูชา ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่อาจจะเป็นแรงกดดันที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะข้างหน้า อาทิ ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมต่อภาคประชาชนและธุรกิจ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ที่อาจส่งผลต่อภาคการผลิต การจ้างงานและการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิดต่อไป
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 49.75 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ ร้อยละ 14.95 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 8.09 ราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 8.01 สังคม/ความมั่นคง ร้อยละ 7.47 การเมือง ร้อยละ 5.85 ภัยพิบัติ/โรคระบาด ร้อยละ 2.43 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ 2.06 และ อื่นๆ ร้อยละ 1.39 ตามลำดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 4 ภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 61.1 ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 52.4 ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 50.7 ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 50.6 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ภาคใต้ ปรับตัวลดลงต่ำกว่าความเชื่อมั่น อยู่ที่ระดับ 49.9 จากความกังวลต่อสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่ามี 4 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 56.3 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 53.8 พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 51.7 และนักศึกษา อยู่ที่ระดับ 50.2 ในขณะที่มี 3 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยเกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.9 อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 49.8 และ ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 49.7 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 48.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น
นายนันทพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันสะท้อนความหวังของประชาชนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ การเปิดใช้โครงการคนละครึ่ง พลัส อย่างเป็นทางการซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภคและการใช้จ่ายของประชาชนส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับความหวังต่อภาคการท่องเที่ยวช่วงปลายปี ที่เป็นอีกแรงสนับสนุนสำคัญต่อการปรับตัวของดัชนีในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายน ยังมีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อความกังวลของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชาที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง รวมถึงการระงับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ จากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ สถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทั้งภาคกลางและพื้นที่เขตปริมณฑลยังส่งผลต่อความกังวลของประชาชนด้วยในอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำและสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ภาคใต้ที่เป็นแรงกดดันสำคัญต่อความรู้สึกของประชาชนตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน และส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคใต้ ทยอยปรับตัวลดลง ส่วนเหตุอุทกภัยอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน แม้จะยังไม่ส่งผลอย่างชัดเจนต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายน แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยคาดว่าผลของอุทกภัยดังกล่าวจะต่อเนื่องและส่งผลอย่างชัดเจนต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนถัดไป
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยังคงดำเนินมาตรการอย่างรอบด้านเพื่อสร้างบรรยากาศและความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในช่วงปลายปี 2568 โดยมุ่งส่งเสริมการฟื้นตัวของการบริโภค การใช้จ่าย และภาคการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะยังคงติดตามและเฝ้าระวังเหตุการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินนโยบายและการช่วยเหลือเป็นไปอย่างครอบคลุมและทันท่วงที โดยปัจจุบันกระทรวงฯ ได้ดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การจัดส่งวัตถุดิบและของใช้จำเป็น ให้เพียงพอต่อความต้องการของหน่วยงานและประชาชนภายในพื้นที่ การประสานผู้ประกอบการเพื่อจัดส่งสินค้าอุปโภคและบริโภคจำเป็นเข้าสู่พื้นที่ป้องกันการขาดแคลนสินค้า และการเตรียมจัดงานธงฟ้าหลังน้ำลด เพื่อลดภาระประชาชนในช่วงการฟื้นฟู รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งการกระจายและจัดจำหน่ายสินค้าและการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจฟื้นตัวพร้อมกลับมาเป็นส่วนสำคัญของรากฐานเศรษฐกิจประเทศโดยเร็ว.






