‘ไทยออยล์’ คาด ราคาน้ำมันดิบ WTI สัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวที่ 57-67 USDต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลง หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีความคืบหน้ามากขึ้น

บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ.ไทยออยล์: ฉบับวันที่ 1 ธันวาคม 2568 คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส( WTI )ในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 57-67 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 59-69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (28 พ.ย. 68 – 4 ธ.ค. 68)


ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากความตึงเครียดของสถานการณ์ความไม่สงบในยุโรปตะวันออกมีแนวโน้มคลี่ยคลายลงสืบเนื่องจากความพยายามในการผลักดันการเจรจาให้เกิดสันติภาพระหว่างรัสเซีย และยูเครน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการโจมตีระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากความเชื่อมั่นธุรกิจเยอรมันปรับลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่เศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากมาตรการผ่อนคลายทางการค้า ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ธ.ค. 68

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

• ตลาดจับตาการเจรจาสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้นเนื่องจากประธานสภาความมั่นคงและกลาโหมแห่งชาติ ของยูเครนนายรูสเต็ม อูเมรอฟ เผยว่ายูเครนสนับสนุนสาระสำคัญของกรอบสันติภาพ หลังจากเจรจากับสหรัฐฯ แต่ ยังต้องมีการหารือประเด็นละเอียดอ่อนที่สุดระหว่างประธานาธิบดีของประเทศทั้งสอง เช่น การให้ยูเครนยกดินแดนบางส่วนให้รัสเซีย การลดขนาดกองทัพ และการล้มเลิกการเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO)

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเปิดเผยร่างล่าสุดจากทั้งสองฝ่าย ขณะที่ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นาย Marco Rubio ระบุว่าเส้นตายดังกล่าวอาจยืดหยุ่นได้ ทั้งนี้ประธานาธิบดีของยูเครน นาย โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี อาจเดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อสรุปข้อตกลงแผนสันติภาพกับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการทบวงการทัพบกสหรัฐฯ พบปะหารือกับคณะผู้แทนจากรัสเซียที่กรุง Abu Dhabi เมืองหลวงของสหรัฐฯ อาหรับเอมิเรตส์ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับแผนยุติสงครามยูเครนที่สหรัฐฯ เสนอซึ่งเป็นความพยายามอีกด้านหนึ่งจากสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับที่กรุง Geneva

• ในขณะเดียวกันยุโรปยังคงสนับสนุนยูเครน โดยกลุ่มประเทศ E3 (ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร) ร่างแผนสันติภาพที่แก้ไขจากร่างต้นฉบับของสหรัฐฯ (Counter-proposal) โดยเพิ่มความสำคัญให้กับอธิปไตยและความมั่นคงของยูเครน จึงอาจมีความทับซ้อนกับร่างที่สหรัฐฯ กับยูเครนร่วมกันจัดทำอยู่ ต่อมา ประธานคณะมนตรียุโรป (European Council) นาย Antonio Costa ย้ำว่าสหภาพยุโรปจะยังคงสนับสนุนยูเครนอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการทูต การทหาร และเศรษฐกิจ ขณะที่รัสเซียยังคงสงวนท่าทีหลังล่าสุดโฆษกรัฐบาลรัสเซีย นาย Dmitry Peskov ระบุว่ารัสเซียรับทราบผลลัพธ์ของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนผ่านสื่อเท่านั้น และจะไม่ออกความเห็นจนกว่าจะได้รับข้อมูลทางการ นอกจากนี้ยังไม่มีแผนประชุมระหว่างตัวแทนสหรัฐฯ และรัสเซีย

• อย่างไรก็ตาม ยูเครนยังคงจู่โจมรัสเซียอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเสนาธิการทหารบกของยูเครนกล่าวว่ากองทัพยูเครนโจมตีท่าส่งออกน้ำมัน Sheskharis ของบริษัท Transneft ที่ท่า Novorossiysk ในทะเลดำและโรงกลั่นน้ำมัน Tuapse ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 0.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท Rosneft ของรัสเซียเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 68 เป็นการโจมครั้งที่ 3 ในเดือน พ.ย. 68 ขณะที่ทางด้านรัสเซียโจมตียูเครนด้วยโดรนและขีปนาวุธ ครั้งใหม่ในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนเช่นกัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ รวมถึงระบบไฟฟ้า และระบบทำความร้อนได้รับความเสียหาย

• เศรษฐกิจยุโรปยังคงชะลอตัวเนื่องจากดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจของเยอรมนี ลดลงสู่ระดับ 88.1 ในเดือน พ.ย. 68 จาก 88.4 ในเดือนต.ค. 68 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 88.5 สะท้อนว่าภาคธุรกิจเยอรมนียังอ่อนแอและไร้สัญญาณฟื้นตัว หลังเศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่องสองปี ขณะที่สถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจชี้ว่าการฟื้นตัวอาจต้องรอแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการคลังในปี 69

• เศรษฐกิจระหว่างจีน และสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวเนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนแข็งแกร่งมาก จากการสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีจีน นายสี จิ้นผิงในหลายประเด็น เช่น ยูเครน ยาเฟนทานิล การค้า และผลผลิตทางการเกษตรของสหรัฐฯ นอกจากนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่าจะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในเดือน เม.ย. 69 และจะเชิญนายสี จิ้นผิงเยือนสหรัฐฯ ในภายหลังด้วย

• ตลาดจับตานโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ หลังคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นาย Christopher Waller เผยว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแอ จึงจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ครั้งถัดไปในวันที่ 9-10 ธ.ค. 68 โดยล่าสุด Fed Watch Tool ของ CME Group คาดการณ์ว่ามีโอกาส 77% ที่ Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.50-3.75%

• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเดือน พ.ย. 68 อัตราการจ้างงานเดือน พ.ย. 68 ดัชนีราคาส่งออกเดือน พ.ย. 68 และดัชนีราคานำเข้าเดือน พ.ย. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/68 อัตราการจ้างงานไตรมาส 3/68 ยอดขายปลีกเดือน ต.ค. 68 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเดือน พ.ย. 68 ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือน พ.ย. 68 อัตราการว่างงานเดือน ต.ค. 68 ดัชนีราคาผู้บริโภค เดือน พ.ย. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เดือน พ.ย. 68


สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21 – 27 พ.ย. 68)


ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 1.43 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 58.43 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 1.10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 62.98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดคลายกังวลเกี่ยวกับความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่มีความพยายามที่จะเจรจายุติสงคราม ขณะที่รัสเซียเริ่มหันไปเพิ่มการส่งออกน้ำมันไปจีนมากขึ้นเพื่อชดเชยอุปสงค์ที่หายไปจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของรัสเซียทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท Rosneft และ Lukoil ทำให้โรงกลั่นบางแห่งในอินเดียต้องลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียลง ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีของรัสเซียเปิดเผยว่า ทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการหารือแนวทางการขยายการส่งออกน้ำมันรัสเซียไปยังจีนเพิ่มขึ้น ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) เผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่ม 2.8 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 426.9 ล้านบาร์เรล ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 พ.ย. 68.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password