‘ศุภจี’ โชว์บทนำ ดึงอาเซียนวางเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าสู้เกมภาษีนำเข้าสหรัฐฯ – เร่ง FTA รุกตลาดอาเซียน จีน อินเดีย

“รมว.พาณิชย์” แนะชาติอาเซียนผนึกวางเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันปัญหาการถ่ายเทสินค้าผ่านประเทศที่สาม เผย! ที่ประชุม AEC Council เห็นพ้องสู้ความเสี่ยงจากความผันผวนเศรษฐกิจโลกและมาตรการการค้าสหรัฐฯ ประกาศเร่งยกระดับ FTA กับอินเดีย พร้อมร่วมลงนาม FTA สินค้าของอาเซียน และอาเซียน-จีน 3.0 หนุนเพิ่มการค้าภายในและนอกอาเซียน เตรียมชงเสนอที่ประชุม สุดยอดอาเซียน 26ต.ค.นี้ 

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุม คณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 26 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ว่า ได้ร่วมการประชุมกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อกำหนดทิศทางการรวมกลุ่มและการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยจะเน้นเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือความเสี่ยงจากภูมิเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีผลต่อห่วงโซ่การค้าและการส่งออกของอาเซียน

ไทยเน้นย้ำให้อาเซียนร่วมมือกันด้านเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์ถ่ายเทสินค้าผ่านประเทศที่สาม (transshipment) และ ปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎถิ่นกำเนิดสินค้า (ROOs) ให้โปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็น นโยบายสำคัญของรัฐบาลในการรักษาความเชื่อมั่นและความเชื่อมโยงห่วงโซ่ทางการค้าของไทยในระยะยาวนางศุภจี กล่าวและว่า…

ไทยสนับสนุนการจัดทำและปรับปรุง FTA ให้รองรับการค้าสมัยใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าของไทย โดยเฉพาะกับ ตลาดอาเซียน จีน และอินเดีย โดยมีกำหนดจะร่วม ลงนามความตกลง FTA สำคัญที่ปรับปรุงใหม่ 2 ฉบับ ได้แก่ ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (Upgraded ATIGA) และ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA 3.0) ในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะ เสริมให้การค้ามีความสะดวกมากขึ้น ลดอุปสรรคด้านกฎเกณฑ์ให้กับการทำธุรกิจของภาคเอกชน

นางศุภจี กล่าวอีกว่า ไทยเน้นย้ำให้เร่งเจรจาทบทวน FTA ของอาเซียนกับอินเดียให้คืบหน้าและสามารถสรุปผลได้ภายในปีนี้ เพื่อขยายการค้าเข้าสู่ตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพใหม่ขนาดใหญ่กว่า 1,400 ล้านคน พร้อมกันนี้ ได้ทราบความคืบหน้าการรับติมอร์-เลสเต เป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ของอาเซียน ซึ่งจะเป็นโอกาสการขยายตลาดภายในภูมิภาคและเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุนของไทย ตามแผนมาตรการเร่งด่วนในการบุกตลาดใหม่ของรัฐบาลด้วย โดยผลลัพธ์การประชุมในครั้งนี้จะเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 26 – 28 ตุลาคม 2568

ในวาระด้านความยั่งยืนของอาเซียน นางศุภจี กล่าวว่า อาเซียนได้ผลักดันให้เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนสำคัญ ในการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันใหม่ของภูมิภาค ซึ่งรวมถึงเรื่อง การลดการปล่อยคาร์บอน เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจภาคทะเล โดยไทยเน้นย้ำในที่ประชุมถึงการลงมือดำเนินการให้เป็นรูปธรรม จำเป็นต้องมีกลไกการประสานงานและการติดตามผลที่เป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานด้านความยั่งยืนของอาเซียนเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ อาเซียนเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก การขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง 4.8% ในปี 2567 และคาดการณ์ขยายตัว 4.3% ในปี 2568 โดยมีการค้าภายในกลุ่มขยายตัว 8.9% ในปีที่ผ่านมา และการลงทุนภายในภูมิภาคขยายตัว 43.5% และการลงทุนจากภายนอกเพิ่มขึ้น 8.5% สะท้อนถึง ศักยภาพการเติบโตของภูมิภาคท่ามกลางความผันผวนทางการค้าโลกในปัจจุบัน

โดย อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทย ในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 120,418 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยได้ดุลการค้าอาเซียน 20,013 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอาเซียน ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์ และแผงวงจรไฟฟ้า และ สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากอาเซียน ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า น้ำมันดิบ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ ตลาดสำคัญสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password