ครองแชมป์สินค้า GI ทำเงินสูงสุดปี’68! ‘หมอนทองเขาบรรทัด’ ผลไม้ทองคำ โกยรายได้ทะลุหมื่นล้าน

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา โชว์ความสำเร็จครั้งสำคัญของสินค้า GI ตัวท็อป “ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด” ชี้! แค่ 9 เดือนแรก ทำรายได้ทะลุหมื่นล้านบาท ย้ำ! “ตรา GI” คือกุญแจสำคัญเสริมแกร่ง ผ่านการยกระดับคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่น เพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนไทยอย่างยั่งยืน ตามนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการส่งเสริมและคุ้มครองสินค้า GI ในปีที่ผ่านมา ว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยคุณภาพและอัตลักษณ์อันโดดเด่นส่งผลให้สินค้า GI ไทยได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสินค้า GI ไทยที่ทำรายได้สูงสุด 10 อันดับแรก ในช่วงมกราคม – กันยายน 2568 ส่วนใหญ่เป็น สินค้าเกษตรและอาหาร สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 46,000 ล้านบาท โดย 3 อันดับแรก คือ สินค้าทุเรียน GI นำโดย “ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด” จังหวัดตราด ครองแชมป์สินค้า GI ไทยที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2568 ด้วยมูลค่าสูงถึง 11,047 ล้านบาท

ลักษณะเด่นของ ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด คือ เปลือกสีเขียวปนน้ำตาล ปลายหนามแข็งแรงแหลมคม เนื้อมีสีเหลืองอ่อน รสชาติหวานมันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปลูกในบริเวณแนวเทือกเขาบรรทัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ ดินร่วนระบายน้ำดี และมีฝนตกมากเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม ประกอบกับแรงลมทะเลที่เข้าปะทะกับพื้นที่ชายฝั่งไปจนถึงเทือกเขาบรรทัด ทำให้สภาพความชื้นในอากาศลดลงเร็วกว่าปกติ ทุเรียนเกิดอาการเครียดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ จึงกระตุ้นให้ออกดอกเร็วและสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนพื้นที่อื่น

ตามด้วย อันดับ 2 “ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา” มูลค่า 6,661 ล้านบาท มีลักษณะเด่นคือเนื้อทุเรียนแห้ง ไม่แฉะ เส้นใยน้อย รสชาติหวานมัน ปลูกบนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100 เมตรขึ้นไปในจังหวัดยะลา และอันดับ 3 “ทุเรียนหมอนทองระยอง” มูลค่า 4,886 ล้านบาท มีลักษณะเด่นคือเปลือกบาง พูชัดเจน เนื้อสีเหลืองนวล หนา แห้ง เหนียว เส้นใยน้อย รสชาติหวานมันกลมกล่อม และมีกลิ่นหอมอ่อน โดยทุเรียน
โดยทั้ง 3 รายการมี ตลาดส่งออกสำคัญในต่างประเทศ โดยเฉพาะ ประเทศจีน สะท้อนศักยภาพสินค้าเกษตรและความต้องการทุเรียนไทยคุณภาพสูงในตลาดโลก
นอกจาก ทุเรียน GI ดังกล่าวแล้ว ยังมี สินค้า GI ไทยที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูงอีก 7 รายการ ประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ มูลค่า 4,812 ล้านบาท มะพร้าวทับสะแก (ประจวบคีรีขันธ์) มูลค่า 3,776 ล้านบาท เหล้าแป้ (แพร่) มูลค่า 3,632 ล้านบาท มะขามหวานเพชรบูรณ์ มูลค่า 3,363 ล้านบาท หอมแดงศรีสะเกษ มูลค่า 2,882 ล้านบาท กุ้งก้ามกรามบางแพ (ราชบุรี) มูลค่า 2,570 ล้านบาท และทุเรียนบางนรา (นราธิวาส) มูลค่า 2,544 ล้านบาท สะท้อนคุณภาพสินค้าท้องถิ่นไทยที่ครองใจผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล้าแป้ หนึ่งในสินค้า GI น้องใหม่มาแรงที่เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 และสามารถทำรายได้ติด Top 10 ของปี 2568 (ในอันดับที่ 6) ได้อย่างรวดเร็ว

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของสินค้า GI ไทย มาจากกลไกการขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ การคุ้มครองและรับรองคุณภาพ (GI Protection) ชื่อและตรา GI เป็นปัจจัยแรกที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในแหล่งผลิต และยอมรับในชื่อเสียงและคุณภาพของสินค้า โดยมี ระบบควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด และสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของแหล่งผลิตได้ รวมทั้ง ควบคุมปริมาณการผลิตสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้ราคาขายสินค้าหลังจากขึ้นทะเบียน GI โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 2-5 เท่า

ด้าน การเข้าถึงตลาด ได้ดำเนินการผ่านการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นคุณภาพพรีเมียมให้สามารถขยายตลาดไปยังประเทศเป้าหมาย ซึ่งมีความต้องการสินค้าคุณภาพดีจากไทยและมีกำลังซื้อสูง อาทิ จีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น รวมถึง การจำหน่ายสินค้าในประเทศผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งใน ท้องตลาด ห้างสรรพสินค้า และช่องทางออนไลน์ อีกทั้ง ยังได้ทำการ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านการยกระดับสินค้า GI สู่เมนูอาหารระดับ Fine Dining การแปรรูปสินค้า GI เพื่อเพิ่มมูลค่าและตอบโจทย์ผู้บริโภคในตลาดยุคใหม่ การเชื่อมโยงแหล่งผลิตสินค้า GI กับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและนวัตวิถี การนำภูมิปัญญาและเอกลักษณ์ท้องถิ่นมาสร้างแบรนด์และเรื่องราว (Storytelling) ที่มีคุณค่า รวมทั้งการพัฒนาภาพลักษณ์และบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย
ซึ่งช่วย กระตุ้นความน่าสนใจและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรพื้นถิ่นได้ เช่น ทุเรียนหมอนทองระยองที่กรมฯ มีส่วนร่วมในการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์ โดยใช้แนวคิด “Art of Durian” สะท้อนความสนุกสนานระดับพรีเมียม ผ่านภาพประกอบ ตัวการ์ตูนที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ถ่ายทอดความเป็นมิตรและการเข้าถึงง่ายของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ส่งผลให้สินค้า GI มีศักยภาพการแข่งขันสูง ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสร้างรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ของไทย
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวทิ้งท้ายว่า กรมฯ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อน นโยบาย Quick Big Win ของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่มุ่งมั่นให้ใช้ GI เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง พร้อมเดินหน้า ส่งเสริมสินค้า GI ในภูมิภาคต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักและขยายตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตรา GI เป็นสัญลักษณ์ของ “สินค้าดี มีคุณภาพ คู่แหล่งกำเนิด” ของประเทศไทย โดยสินค้าเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สร้างรายได้ระดับหมื่นล้านบาท แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ต่อไป.






