‘อรมน’ ชง IP 4 All ดันทรัพย์สินทางปัญญา ‘สร้างแต้มต่อเศรษฐกิจ – ยกระดับธุรกิจไทย’

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้า “Quick Big Win” ภายใต้โรดแมป “IP 4 All – ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อทุกคน” ผลักดัน “4 มิติหลัก” สร้างแต้มต่อทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย มุ่งใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ยกระดับความสามารถแข่งขัน  เผย! ผลงานสิ้น Q3/2568 ยอดคำขอจดทะเบียนโตเพิ่ม สะท้อนความสำคัญเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯได้เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย“Quick Big Win” ของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ภายใต้โรดแมป “IP 4 All – ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อทุกคน” เพื่อผลักดันให้ “ทรัพย์สินทางปัญญา” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแต้มต่อทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งชุมชนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และประชาชนทั่วไป ผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่ IP for Community, IP for Business, IP for Innovation และ IP for Consumer

ใน มิติแรก “IP for Community” กรมฯ มุ่งใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริม สินค้า GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ให้ครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นทะเบียน ควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปี 2569 ตั้งเป้าขึ้นทะเบียน GI ใหม่ 26 รายการ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 34,000 ล้านบาท จากสินค้าปัจจุบัน 241 รายการที่สร้างรายได้กว่า 114,000 ล้านบาท พร้อมส่งเสริมระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Trace Back) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้สินค้าที่ใช้วัตถุดิบ GI สามารถใช้โลโก้ใหม่ได้ ซึ่งจะช่วยต่อยอดมูลค่าทางการตลาด นอกจากนี้ จะขยายการพัฒนาสินค้าชุมชนเชิงสร้างสรรค์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้ และร่วมมือกับสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (SACIT) เพื่อคุ้มครองงานหัตถกรรมและต่อยอดเชิงพาณิชย์

มิติที่สอง “IP for Business” เน้นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยพัฒนา ระบบ Fast Track สำหรับจดสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และอนุสิทธิบัตร โดยใช้เทคโนโลยี AI ลดระยะเวลาการดำเนินการ เช่น สิทธิบัตรการประดิษฐ์จากเดิม 38 เดือน เหลือไม่เกิน 12 เดือน และอนุสิทธิบัตรเหลือ 6 เดือน ขยาย Fast Track ไปยังอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ดิจิทัล ชีวภาพ และเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมเปิดบริการ Trademark Monitor เฝ้าระวังการจดเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศ และบริการให้คำปรึกษาครบวงจรผ่าน ศูนย์ IPAC เพื่อช่วยผู้ประกอบการบริหารจัดการสิทธิทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงร่วมมือกับสถาบันการเงินในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ขอสินเชื่อหรือระดมทุน

มิติที่สาม “IP for Innovation” มุ่งต่อยอดองค์ความรู้และนวัตกรรม โดยจัดตั้งตลาดกลางทรัพย์สินทางปัญญา (IP Mart) และงานมหกรรม IP Fair เพื่อจับคู่ธุรกิจและสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์จากผลงานวิจัย พร้อมร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อยกระดับความสามารถของประเทศในดัชนี Global Innovation Index (GII) อีกทั้งพัฒนาระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรด้วยเทคโนโลยีวิเคราะห์แนวโน้ม (Patent Trend Analysis) เพื่อให้นักวิจัยและผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลมาใช้พัฒนาสินค้าใหม่ได้ตรงกับความต้องการตลาดโลก รวมถึงระบบแจ้งเตือนสิทธิบัตรหมดอายุ เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจนำเทคโนโลยีมาใช้ต่อยอดโดยไม่ละเมิดสิทธิ

และ มิติสุดท้าย “IP for Consumer” เน้นการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ปูพรมตรวจโกดัง แหล่งกระจายสินค้า และประสานแพลตฟอร์ม e-Commerce ใช้มาตรการ Notice & Takedown เพื่อลบสินค้าละเมิดออกทันทีที่พบการแจ้ง นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบบริการของกรมให้เข้าถึงง่ายขึ้น เช่น ระบบค้นหาข้อมูลที่รองรับผู้มีภาวะตาบอดสี เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างเท่าเทียม

นางอรมน ย้ำว่า แผน “IP 4 All” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างระบบนิเวศด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่แข็งแรง โปร่งใส และเป็นมิตรกับทุกภาคส่วน ช่วยเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย เพิ่มความเชื่อมั่นต่อการลงทุนจากต่างประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งให้ “ทรัพย์สินทางปัญญา” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังเปิดยเผยถึง สถิติการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ในช่วง9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – กันยายน 2568) ว่า มีการยื่นคำขอจดทะเบียนสูงถึง 55,699 คำขอ เพิ่มขึ้น 7.46% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (51,833 คำขอ) และมีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ 10,500 รายการ ลดลง 5.45% จากปี 2567 (11,105 รายการ) โดยรายละเอียดการยื่นคำขอจดทะเบียนและแจ้งข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา (66,199 คำขอ) ดังนี้

1) เครื่องหมายการค้า มีการยื่นคำขอ 41,255 คำขอ เพิ่มขึ้น 7.28% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (38,455 คำขอ) โดยมีสัดส่วน ผู้ยื่นคำขอคนไทย 52% และต่างชาติ 48% สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มบริการค้าปลีก (5,287 คำขอ) กลุ่มสินค้าเครื่องสำอาง (5,236 คำขอ) และ กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอนามัย (4,667 คำขอ)

ทั้งนี้ สินค้าเพื่อสุขภาพอนามัยเป็นกลุ่มที่มาแรงและได้รับการจดทะเบียนมากที่สุด 3,692 เครื่องหมาย เพิ่มขึ้น 57% จากปี 2567 (2,339 เครื่องหมาย) โดยเป็นคำขอที่ได้รับจด ผ่านช่องทาง Fast Track จำนวน 1,525 เครื่องหมาย สะท้อนเทรนด์การค้าที่มุ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพอนามัยมากขึ้น ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 30,392 เครื่องหมาย

2) สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีการยื่นคำขอ 6,161 คำขอ ซึ่งตัวเลขใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (6,071 คำขอ) โดยมีสัดส่วน ผู้ยื่นคำขอคนไทย 10% และต่างชาติ 90% อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เป็นต้น

สำหรับ นวัตกรรมที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ วัสดุเหล็กกล้า (172 คำขอ) ซึ่ง ครองอันดับ 1 สองปีติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password