ส.ผู้ส่งออกข้าวฯ ชี้! หลายปัจจัยลบกระทบตลาดข้าวโลก ฉุดราคาข้าวไทยร่วงหนัก

นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุ! ตลาดโลกเผชิญปัจจัยลบรุมเร้า ฟิลิปปินส์ขยายเวลาห้ามนำเข้าข้าว อินเดียเตรียมระบายสต๊อก 20 ล้านตัน เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว ส่งผลต่อการสั่งซื้อ ทำให้ราคาข้าวลดลงกว่า 100 ดอลลาร์/ตัน กระทบทั้งต่อผู้ส่งออกและชาวนา
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาวะตลาดข้าวโลกได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะการที่ฟิลิปปินส์มีแนวโน้มขยายเวลาห้ามนำเข้าข้าวไปจนถึง 31 ธันวาคม 2568 จากเดิมที่คาดว่า จะสิ้นสุดในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยเป็นการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีในรัฐบาลฟิลิปปินส์ แม้ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ ฟิลิปปินส์เป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของโลก โดยในแต่ละปีนำเข้ากว่า 4 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวจากเวียดนาม และบางส่วนจากไทย การตัดสินใจขยายเวลาห้ามนำเข้าทำให้บรรยากาศในตลาดโลกชะลอตัวลงและยังมีอีกหลายปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อข้าวไทย อาทิ อินโดนีเซียซึ่งปีนี้ไม่ซื้อข้าวจากต่างประเทศเลย เนื่องจากมีผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นและมีสต๊อกเหลือจากการนำเข้าในช่วง 2 ปีก่อน รวมถึงอินเดียที่เตรียมระบายข้าวจากคลังสำรองของรัฐกว่า 20 ล้านตันออกสู่ตลาด
“ราคาข้าวขาวไทยในตลาดโลกขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 340 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เท่านั้น ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 450 ดอลลาร์/ตัน ขณะที่ราคาข้าวเปลือกในประเทศเหลือเพียง 5,500–6,000 บาท/ตัน จากเดิมที่เคยแตะระดับ 10,000 บาท” นายชูเกียรติกล่าว
อย่างไรก็ตาม การที่ฟิลิปปินส์ประกาศเปิดให้นำเข้าเพียง 300,000 ตันในเดือนมกราคม 2569 ก่อนจะปิดอีก 3 เดือนในช่วงกุมภาพันธ์–เมษายน คาดว่า จะทำให้ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีก ประกอบกับผู้ซื้อทั่วโลกชะลอการตัดสินใจซื้อและซื้อเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เนื่องจากสภาพทางเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่า ราคาจะทรงตัวในระดับต่ำเช่นนี้ตลอดปี 2569 เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะทำให้ราคาตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวทางการหาตลาดใหม่นั้น โดยขณะนี้ข้าวไทยส่งออกไปกว่า 120–130 ประเทศทั่วโลกอยู่แล้ว จึงแทบไม่มี “ตลาดใหม่” ให้ขยายเพิ่มเติม การแข่งขันในปัจจุบันจึงขึ้นอยู่กับ “ราคา” เป็นหลัก โดยราคาข้าวของไทยยังแพงกว่าบางประเทศ เช่น เมียนมาเสนอขายในราคาประมาณ 320 ดอลลาร์/ตัน โดยสิ่งสำคัญระยะยาวคือ ต้องพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น เพื่อลดต้นทุนและตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศเช่น ข้าวพื้นนุ่ม รวมถึงการพัฒนาข้าวหอมมะลิที่เพิ่มความหอมให้มากกว่าพันธุ์ที่มีอยู่” นายชูเกียรติกล่าว พร้อมระบุว่า ในอดีตประเทศไทยเคยได้เปรียบเรื่องข้าวหอมมะลิ แต่ปัจจุบันเวียดนามสามารถพัฒนาพันธุ์ ST ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงทั้งความหอมและความนุ่มในราคาถูกกว่า
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดว่า ในปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 7–7.7 ล้านตันเป็นอันดับ 3 ขณะที่เวียดนามส่งออกเป็นอันดับ 2 ได้กว่า 8.5 ล้านตัน และอินเดียยังครองแชมป์อันดับ 1 ด้วยปริมาณกว่า 21–22 ล้านตัน.