‘พาณิชย์’ เผย! ‘คนรุ่นใหม่-กลุ่มกำลังซื้อสูง’ ติดใจผลไม้ไทย เพิ่มโอกาสส่งออกสู่ตลาด UAE

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผย! โอกาสส่งออกผลไม้ไทยในตลาดเอมิเรตส์ยังไปได้สวย เหตุต้องนำเข้าเกือบ 100% ระบุ! กลุ่มคนรุ่นใหม่เคยเที่ยวไทย และกลุ่มกำลังซื้อสูง ถือเป็น “ลูกค้าหลัก” ส่วนใหญ่ขายในห้าง และขายปลีกใส่ถาดโฟม/กล่องพลาสติก เตรียมจับมือ “ทูตพาณิชย์” เร่งประชาสัมพันธ์ กระตุ้นการบริโภคผลไม้ไทย สร้างการรับรู้ เพิ่มโอกาสส่งออก

น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯได้รับรายงานจาก นายปิติชัย รัตนนาคะ ผอ.สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ถึงการสำรวจตลาดผลไม้สดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คู่แข่งในการส่งออกผลไม้ และโอกาสในการส่งออกผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และการส่งออกต่อไปยังประเทศในตะวันออกกลางอื่น ๆ
“ทูตพาณิชย์” ระบุว่า ยูเออีเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าผลไม้เกือบ 100% เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเกษตร โดยเฉพาะผลไม้เขตร้อนที่ไทยส่งออกนั้น ได้รับความนิยมอย่างสูงและครองใจผู้บริโภค โดยเฉพาะ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และหลงใหลในรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของผลไม้ไทย ซึ่งผลไม้ไทยเป็นกลุ่มแปลกใหม่และมีราคาสูง แต่มีคุณภาพดีกว่าผลไม้ชนิดเดียวกันจากประเทศอื่น เช่น ศรีลังกา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
สำหรับผลไม้ไทยที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ เงาะ มังคุด ลำไย มะขามหวาน ทุเรียน มะพร้าวอ่อน และขนุนสุกแกะเม็ด และยังมีผลไม้บางชนิดที่ไทยเป็นผู้ส่งออกเพียงรายเดียวในตลาด เช่น ชมพู่ทับทิมจันทร์ และมะปราง ซึ่งสร้างความแตกต่างและจุดขายให้กับผลไม้ไทย โดยผลไม้ไทย ส่วนใหญ่วางจำหน่ายในซูเปอร์มาเก็ต และยังมี ผู้นำเข้าที่จำหน่ายปลีก โดยบรรจุในถาดโฟมหรือกล่องพลาสติก และมีพริกเกลือพร้อมรับประทาน เช่น มะม่วงเขียวเสวย ฝรั่ง สับปะรด (ภูแล) วางจำหน่ายตาม Kiosk ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง

อย่างไรก็ตาม ผลไม้ไทยมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ แม้ว่าจะมีคุณภาพดีและเป็นที่ต้องการของตลาด โดยมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาด้านการขนส่ง เนื่องจากผลไม้ไทยส่วนใหญ่ขนส่งทางอากาศ ทำให้มีค่าระวางสูง ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและเสียเปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม ที่สามารถเสนอราคาถูกกว่าได้ เช่น มะม่วงสุก ที่แม้จะมีการแข่งขันสูงจากมะม่วงอินเดียและปากีสถาน แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ของไทย เพราะติดใจในรสชาติและคุณภาพ โดยเฉพาะร้านอาหารไทยในโรงแรมระดับ 5 ดาวที่นิยมใช้มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นส่วนประกอบของของหวาน นอกจากนี้ ยังมีผลไม้จากเวียดนามเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของไทยมากขึ้น อาทิ แก้วมังกร ฝรั่งกิมจู เงาะ ลำไย เสาวรส มะพร้าวอ่อน ที่มีราคาถูกกว่าผลไม้ไทยอย่างเห็นได้ชัด
อธิบดีฯสุนันทา กล่าวอีกว่า ตลาดยูเออีเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับผลไม้ไทย เพราะนอกจากจะนำเข้าเพื่อบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังมีการนำเข้าเพื่อส่งออกต่อ (Re-export) ไปยังประเทศอาหรับใกล้เคียง เช่น โอมาน ซึ่งการขนส่งทางรถบรรทุกใช้เวลาไม่นานและสะดวกต่อการกระจายสินค้า ดังนั้น ผลไม้ไทยมีโอกาสเติบโตในตลาดยูเออีได้อีกมาก โดย กรมฯมีแผนจะร่วมมือกับ “ทูตพาณิชย์” ในการประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบผลไม้ที่มีความแปลกใหม่ และกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะช่วยผลักดันผลไม้ไทยส่งออกเข้าสู่ตลาดยูเออีได้เพิ่มขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ ปี 2566 ที่ผ่านมา ยูเออีมีการนำเข้าผลไม้สดและอบแห้ง รวมมูลค่า 2,713 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6.9% โดยประเภทผลไม้นำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มถั่ว ส้ม อินทผลัม สตรอเบอรี แอปเปิ้ล องุ่น กล้วย สับปะรด มะม่วง เป็นต้น และ นำเข้าจากไทย 28 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 3.3% โดยไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 17 ผลไม้ที่นำเข้าสำคัญเช่น ลำไย ส้มโอ มะม่วง ทุเรียน สับปะรด มังคุด กล้วย เงาะ ส้ม ลิ้นจี่ มะพร้าวอ่อน มะละกอ มะขามหวาน ลองกอง มะปราง ระกำ
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169.