คลังรับสภาพจีดีพี ปี’67 โตแค่ 2.5% ส่วนปี’68 หวังหลายเครื่องยนต์เศรษฐกิจดันขยับเพิ่มเป็น 3%

“โฆษกคลัง” คาดเศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวได้แค่ 2.5% ส่วนปี 2568 มั่นใจแรงหนุนการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก ท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนภาครัฐและเอกชนจะหนุนจีดีพีไทยขยับเป็น 3.0% เผย! เศรษฐกิจธันวาคมปีก่อน ขยายตัวจากการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นติดต่อเป็นเดือนที่ 6 สอดรับการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง ย้ำ! ยังต้องเกาะติดภาคการผลิตอุตสาหกรรม และนโยบายเศรษฐกิจของคู่ค้าสำคัญที่อย่างใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 1 กระทรวงการคลัง, นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ในฐานะ “โฆษกกระทรวงการคลัง” พร้อมด้วย นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค. และ นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผอ.กองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. ร่วมแถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจเดือนธันวาคม 2567  

นายพรชัย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 สอดคล้องกับการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนยังคงชะลอตัว ทั้งนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ของภาคการผลิตอุตสาหกรรม และนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดต่อไปโดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน เเต่การบริโภคหมวดสินค้าคงทนในหมวดยานยนต์ยังคงชะลอตัว โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนธันวาคม 2567 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.9 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 7.1 สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนธันวาคม 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57.9 จากระดับ 56.9 ในเดือนก่อน เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 6.7 อย่างไรก็ดี การบริโภคหมวดสินค้าคงทนในหมวดยานยนต์ยังคงชะลอตัว สะท้อนจากปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่และปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนธันวาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ -27.5 และ -5.0 ตามลำดับ และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -1.5 และ -2.2 ตามลำดับ

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 28.3 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 4.6 ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนธันวาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -16.2 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 4.8 สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนธันวาคม 2567 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 14.7 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -2.2 ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 18.4 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -5.9

มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ 24,765.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 8.7 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ร้อยละ 10.4 ตามการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ โดยขยายตัวร้อยละ 43.5 35.6 และ 28.7 ตามลำดับ นอกจากนี้ ยางพารา ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 48.5 24.3 และ 14.2 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกน้ำตาลทราย ข้าว และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดอินเดีย อินโดจีน (4) สหรัฐฯ และจีน และขยายตัวร้อยละ 62.8 20.7 17.5 และ 15.0 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดทวีปออสเตรเลีย ลดลงร้อยละ -15.5

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนธันวาคม 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 3.63 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 11.2 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -1.3 โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนธันวาคม 2567 จำนวน 26.1 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 7.3 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -0.4 ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนธันวาคม 2567 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 2.9 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 0.3 ตามการเพิ่มขึ้นในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ อ้อยโรงงาน และข้าวเปลือก เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน ลดลงจากเดือนก่อน สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนธันวาคม 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 90.1 จากระดับ 91.4  ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอลงจากการเร่งผลิตในเดือนก่อนหน้า รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลก (Global Composite PMI) ในเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 52.6 จุด ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 52.4 จุด ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคบริการ (Global Service PMI) ในเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 53.8 จุด ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า และสูงกว่าระดับ 50.0 จุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 23 บ่งชี้ว่าภาคบริการยังคงขยายตัว นอกจากนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อในหลายประเทศที่ยังคงชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในหลายประเทศ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตยังคงเผชิญแรงกดดัน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลก ภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI)  ในเดือนธันวาคม 2567 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 49.6 จุด จากระดับ 50.0 จุดในเดือนก่อนหน้า กลับเข้าสู่ภาวะหดตัวอีกครั้ง เนื่องจากผลผลิตและยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกลดลง ขณะที่ราคาปัจจัยการผลิตปรับตัวสูงขึ้น สำหรับสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 1.23 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.79 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 64.4 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 237.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

โฆษกกระทรวงการคลัง ยังได้คาดการณ์ ภาวะเศรษฐกิจของปี 2567 โดยเชื่อว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก แม้เผชิญความผันผวนจากนโยบายเศรษฐกิจโลก ขณะที่ ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นสู่ร้อยละ 3.0 จากแรงหนุนของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์และดำเนินนโยบายสนับสนุนอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาเสถียรภาพและเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password