ขุนคลังรับ เงินเฟ้อพุ่งเกิน 5% กดดันเศรษฐกิจ ชี้ตรึงดีเซลช่วย ต้องรอบคอบ หวั่นเป็นภาระในอนาคต

รมว.คลัง รับเงินเฟ้อพุ่งทะลุ 5% หลังราคาน้ำมัน พุ่งกระฉูด กดดันเศรษฐกิจ เตรียมมาตรการลดภาษีดีเซล ลดค่าน้ำ-ไฟช่วยประคอง แต่ต้องพิจารณาเสถียรภาพการเงินการคลังให้รอบคอบก่อนออกมาตรการ หวั่นเป็นภาระการคลังในอนาคต

วันที่ 12 พ.ค. 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “รวมพลังก้าวข้ามวิกฤติ เดินหน้าเศรษฐกิจไทย” ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาเฉพาะหน้าสำคัญที่ต้องเผชิญ 2 เรื่องสำคัญ คือ ปัญหาราคาพลังงานและอาหารสดที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ ที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวพุ่งขึ้นไปเกิน 5% จากปกติอยู่ที่ไม่เกิน 1% โดยเฉพาะราคาพลังงานในรอบนี้ ที่ถือว่าค่อนข้างเข้มข้นมากกว่าราคาพลังงานที่เคยเพิ่มสูงขึ้นในอดีตหลายเท่าตัว ด้วยเหตุผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้ราคาพลังงานถีบตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาพลังงานด้วย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือทั้งแบบพุ่งเป้าและแบบทั่วไป อาทิ มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน และมาตรการลดภาระค่าครองชีพสำหรับผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น กลุ่มวินมอเตอร์ไซด์ และมาตรการลดค่าน้ำ-ค่าไฟ

สำหรับการพยุงราคาน้ำมันดีเซลนั้น ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ชี้แจงไว้ชัดเจนแล้วว่าจากสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งสูงกว่าคาดการณ์ค่อนข้างมาก จึงจำเป็นที่จะต้องยกระดับเพดานการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจาก 30 บาทต่อลิตรขึ้นไปตามสถานการณ์ แต่รัฐบาลก็ยังคงหลักการในการเข้าไปสนับสนุนราคาคนละครึ่ง เช่น หากราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นจากราคาเพดาน 1 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะเข้าไปช่วยเหลือ 50 สตางค์ต่อลิตร ส่วนอีก 50 สตางค์ต่อลิตรนั้น เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องแบกรับ “มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่ 3 บาทต่อลิตรนั้น เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าไปช่วยพยุงราคาน้ำมันไว้ให้ต่ำกว่าเพดานที่รัฐบาลเคยกำหนด หรืออยู่ในระดับเพดานที่เหมาะสม ถือเป็นมาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้ใช้น้ำมันเป็นการทั่วไป”

นายอาคม กล่าวอีกว่า ในส่วนของภาคส่งออก ยังถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยในปี 2564 ตัวเลขการส่งออกของไทยเติบโตได้ 20% ขณะที่ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขส่งออกอยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 15% ดังนั้นจึงถือว่าภาคการส่งออกยังสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีในปี 2565

นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐผ่านงบประมาณแผ่นดิน และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ยังคงเดินหน้าตามปกติ โดยรัฐบาลได้เร่งรัดให้หน่วยงานต่าง ๆ เบิกจ่ายงบประมาณตามที่ได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายปี 2565 โดยเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงนี้ รวมทั้งรัฐบาลยังมีการออกมาตรการด้านภาษีต่าง ๆ ทั้งการยกเว้น และลดหย่อนให้ตามสถานการณ์โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโควิด-19 ส่วนรายได้ของประชาชนที่ได้รับอุดหนุนจากภาครัฐผ่านโครงการคนละครึ่งนั้น ไม่ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี และยังมีมาตรการสนับสนุนสตาร์ทอัพ กองทุนร่วมทุน (เวนเจอร์ แคปปิตอล) และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็นต้น

“มาตรการด้านภาษีที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันออกมานั้น อาจทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ไป แต่ท้ายที่สุดรายได้ของภาษีจะกลับมาในอนาคต เมื่อธุรกิจกลับมาดำเนินการได้ รัฐบาลก็จะมีรายได้กลับมาเป็นรายได้แผ่นดินในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยการดำเนินมาตรการเพื่อดูแลและกระตุ้นเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ยังจำเป็นต้องดูแลสถานะและเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศด้วย มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่เป็นการสร้างภาระให้ภาคการคลังในอนาคต” นายอาคม กล่าว.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password