เคทีซี เห็นโอกาส ขยายสินเชื่อหลังศก.เริ่มฟื้น เผยผลดำเนินธุรกิจ ปี65 มีกำไร 7พันล้านบาท
ประธาน จนท.บริหารบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยผลดำเนินงานปี 65 คาดมีกำไร7พันล้านบาท เห็นโอกาสขยายสินเชื่อ หลังเสรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี กล่าวว่า เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานของ เคทีซีในปี 2565 คาดว่ามีกำไรประมาณ 7,000 ล้านบาทเนื่องจากบริษัทพยายามควบคุมคุณภาพลูกค้าโดยคัดกรองตั้งแต่เริ่มต้น การติดตามการชำระหนี้ทำให้ เคทีซี มีหนี้เสียต่ำกว่าหนี้เสียในตลาด อาทิ หนี้เสียบัตรเครดิตมีประมาณร้อยละ 1.2 ส่วนปี 2566 บริษัทเน้นการปรับตัวองค์กรใน 3 เรื่องสำคัญคือ เรื่องของการลงทุนด้านข้อมูลดาต้า การปรับปรุงด้านข้อมูลไอที ซอฟต์แวร์และการพัฒนาบุคลากร ส่งเสริมทักษะสำคัญที่สร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การเงินและเป็นประโยชน์กับองค์กร โดย เคทีซี ตั้งเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้าจะให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีกำไรระดับหมื่นล้านบาท
สำหรับการดำเนินธุรกิจของเคทีซีในปี 2566 จะเน้นใน 3 ธุรกิจหลักคือ ธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อรถแลกเงิน (เคทีซีพี่เบิ้ม) โดยธุรกิจบัตรเครดิตจะเน้นกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง รายได้ 50,000 บาท/เดือน ขึ้นไปมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์โปรโมชั่นกลุ่มร้านอาหาร ช้อปปิ้งออนไลน์และท่องเที่ยวซึ่งกำลังเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อรถแลกเงิน หลังจากเปิดประเทศความต้องการสินเชื่อก็เพิ่มขึ้นทั้งเพื่อการลงทุนและการใช้จ่าย จึงเป็นโอกาสขยายสินเชื่อดังกล่าว
นายระเฑียรกล่าวอีกว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยถือว่าวางตำแหน่งของตนเองได้อย่างถูกต้อง ด้วยการเปิดประเทศอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ ทำให้การท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก นอกจากนี้กรณีที่จีนผ่อนคลายมาตรการโควิดและเปิดประเทศ จะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ไปด้วย เนื่องจากประเทศไทยและจีนเป็นพันธมิตรและมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันมาตลอด ทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน ในปี 2566จะมีการเลือกตั้ง สส.จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดีในปี 2566 รวมถึงการเปิดประเทศและการใช้จ่ายในกลุ่มต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นช่วงไตรมาส 4ปี 2565 ช่วยทำให้ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลช่วงปลายปีเติบโตได้ดี แม้ยังไม่เท่ากับปี 2562 แต่ก็เริ่มขยายตัวสูง และคาดว่าปี 2566 การใช้จ่ายในระบบจะยิ่งคึกคัก.