HMD ประเทศไทย เปิดตัวฟีเจอร์โฟน 3 รุ่น จำหน่าย NOKIA รุ่นปลุกกระแส Retro ยุค 90s จับกลุ่มผู้สูงอายุ – คนรักความคลาสสิก คาดจะมีความต้องการมากถึง 157 ล้านเครื่องใน 3 ปีข้างหน้า พร้อมตั้งเป้าดันกลุ่มฟีเจอร์โฟนโตเพิ่ม 40%

นายภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD) เปิดเผยว่า นับจากยุค 90s ที่ตลาดรวมฟีเจอร์โฟนเติบโตอย่างมาก ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านเครื่องต่อปีในตลาดโลก ปัจจุบันแม้ผ่านไปแล้วกว่า 3 ทศวรรษ ฟีเจอร์โฟนก็ยังคงเป็นที่ต้องการข้ามยุคสมัย โดยคาดว่ามีความต้องการถึง 157 ล้านเครื่องใน 3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันแบรนด์ Nokia ยังติดอันดับแบรนด์นิยมต้นๆ ในทุกทวีปทั่วโลกรวมถึงตลาดไทยที่ยังคงรักษาแชมป์ครองมาเกตแชร์อันดับหนึ่งเกินครึ่งของตลาด

ทั้งนี้ จากความต้องการของตลาด เอชเอ็มดีได้ดึงเอาความเรียบง่ายของโทรศัพท์มือถือยุค 90s กลับมารีเมคอีกครั้ง พร้อมกับการอัปเกรดฟังก์ชันใช้งานทันสมัยขึ้น เพิ่มฟีเจอร์ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น แต่ยังโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งความคงทนและพลังงานแบตเตอรี่อึดทน พร้อมคุณภาพการผลิตจากวัสดุที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน มั่นใจได้กับการใช้งานที่ยาวนาน บวกกับงานประกอบระดับพรีเมียม ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคฟีเจอร์โฟนปัจจุบัน จากการสำรวจข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์ฟีเจอร์โฟนพบผู้บริโภค 60% ให้ความสำคัญกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน และ 30% เน้นความน่าเชื่อถือของแบรนด์และความทนทานของโทรศัพท์

นายปริญญา พงษ์สิน ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณท์ เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า แม้จะผ่านมากว่า 30 ปี ด้วยเสน่ห์และจุดแข็งของฟีเจอร์โฟนอันเป็นเอกลักษณ์ และการใช้งานที่คลาสสิก โดยเฉพาะแบรนด์ Nokia ที่คงความโดดเด่นเรื่องวัสดุความทนทานใช้งานยาวนาน ส่งผลให้ตลาดฟีเจอร์โฟนทั่วโลก และตลาดในไทยยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้บริโภคต่อเนื่อง

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงฟีเจอร์โฟนคุณภาพ ช่วงปีที่ผ่านมาฟีเจอร์โฟนโนเกียในตำนานหลายรุ่นถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นอัปเกรดฟีเจอร์ และฟังก์ชันใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การใช้งานผู้บริโภค อาทิ Nokia 3310 Nokia 2720 และ Nokia 8110 ที่ประสบความสำเร็จ ได้กระแสตอบรับอย่างดีในตลาดโลก

โดยช่วงครึ่งปีหลังเอชเอ็มดีวางกลยุทธรุกตลาดฟีเจอร์โฟนจับกลุ่มผู้บริโภคครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งกลุ่มธุรกิจองค์กรมองหาฟีเจอร์โฟนใช้งานแทนโทรศัพท์บ้าน วัยทำงาน ผู้สูงวัย และกลุ่มผู้บริโภคที่หลงใหลในดีไซน์ความคลาสสิกในยุค 90s รวมทั้งลูกเล่นของแบรนด์ Nokia ในยุคนั้น ประเดิมด้วย

Nokia 8210 4G รับไม้ต่อจากรุ่นพี่อย่าง Nokia 8210 รุ่นปี 1999 หรือ พ.ศ. 2542 มาพร้อมหน้าจอ 2.8 นิ้ว ความละเอียด QVGA กรอบจอแสดงผลที่ปรับปรุงใหม่ ช่วยให้การพูดคุยและการส่งข้อความง่ายขึ้น พร้อมกล้องถ่ายภาพความละเอียด VGA คุณภาพวีดีโอ qVGA ภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต UniSoc T107 และหน่วยความจำภายในขนาด 48MB+128MB รองรับ MicroSD Card สูงสุด 32GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ S30+OS รองรับเครือข่าย 4G LTE และ Bluetooth 5.0 พร้อมความบันเทิงสุดคลาสสิกกับฟีเจอร์ฟังเพลง MP3 และวิทยุ FM ค้นหาคลื่นผ่านเครื่องได้เลยโดยไม่ต้องใช้หูฟัง ทั้งยังคงเกมงูในตำนานที่ติดตั้งมาพร้อมกับตัวเครื่อง มี 2 สี ให้เลือก ได้แก่ สีน้ำเงินเข้ม และสีแดง ราคา 2,290 บาท

ต่อด้วย Nokia 5710 XpressAudio มีหูฟัง TWS ติดมากับตัวเครื่อง เพิ่มลูกเล่นฝาหลังสไลด์ขึ้น-ลง หยิบใช้งานง่าย คุณภาพเสียงที่คมชัด ชาร์จอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน ตัวหูฟัง Nokia Xpress Earbuds เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 หรือจะใช้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่น ๆ หน้าจอแสดงผล 2.4 นิ้ว (QVGA) และกล้องหลังความละเอียด 0.3MP คุณภาพวีดีโอ qVGA ภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Unisoc T107 หน่วยความจำภายใน 128MB ใส่การ์ด MicroSD เพิ่มความจุสูงสุด 32GB แบตเตอรี่ 1450mAh เน้นประหยัดพลังงาน ถอดเปลี่ยนได้ มีช่องหูฟัง 3.5 มม. วางจำหน่ายสีดำแดง ราคา 2,690 บาท

ปิดท้ายด้วย Nokia 2660 Flip ฟีเจอร์โฟนย้อนยุคแฟชั่นฝาพับในตำนาน ยกสเปกมาจาก 8210 4G และ 5710 XpressAudio หน้าจอหลัก 2.8 นิ้ว QVGA กับจอบนฝาพับขนาด 1.77 นิ้ว กล้องหลังความละเอียด 0.3MP คุณภาพวีดีโอ qVGA แบตเตอรี่ 1450mAh เน้นประหยัดพลังงาน รองรับ MicroSD 32GB ตัวเครื่องมีปุ่มกด tactile ขนาดใหญ่พิมพ์ง่ายและฟังก์ชันช่วยฟัง M4/T4 HAC หรือ Hearing Aid Compatibility เหมาะกับผู้สูงวัย สีที่จำหน่าย สีดํา ราคา 2,490 บาท

อนึ่ง เอชเอ็มดี ตั้งเป้าโทรศัพท์กลุ่มฟีเจอร์โฟนเติบโตในประเทศเพิ่มขึ้น 40% พร้อมรุกตลาดเดินหน้าขยายร้านค้ากว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศไทยในปี 2565 โดย NOKIA ฟีเจอร์โฟน 3 รุ่นปลุกกระแส Retro ยุค 90s เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นต้นไป ผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่าย Nokia ทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์.