‘พาณิชย์’ แนะผู้ประกอบการไทยใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซขายสินค้าที่เวียดนาม หลังทางการปรับแก้กฎหมายใหม่

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผย! เวียดนามเร่งปรับปรุง “กฎหมายอีคอมเมิร์ซใหม่” ปิดช่องโหว่กฎระเบียบเดิม หนุนการขยายตัวเศรษฐกิจดิจิทัล แนะผู้ประกอบการไทย ใช้ประโยชน์จากการเติบโตนี้ แนะนำ และขายสินค้าไทยในเวียดนาม ระบุ! ตลาดอีคอมเมิร์ซเวียดนามเติบโตก้าวกระโดด ขึ้นแท่น TOP 3 ของอาเซียนปี 2567 และติด TOP 5 ของโลก
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯได้มอบนโยบายให้ “ทูตพาณิชย์” ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ล่าสุด ได้รับรายงานจาก นางสาวอุษาศรี เขียวระยับ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ เวียดนาม ถึงความคืบหน้าของรัฐบาลเวียดนามที่ออกกฎหมายอีคอมเมิร์ซใหม่ เพื่อปิดช่องโหว่ของกฎระเบียบเดิม และหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล และโอกาสของไทยในการใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซในการขายสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดเวียดนาม
ทั้งนี้ “ทูตพาณิชย์” รายงานว่า ขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) ของเวียดนาม ประกาศแผนออกกฎหมายอีคอมเมิร์ซฉบับสมบูรณ์ เพื่อวางรากฐานทางกฎหมายที่ชัดเจนและแข็งแกร่งรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยกฎหมายฉบับใหม่นี้ มุ่งแก้ไขช่องโหว่ของกฎระเบียบเดิม พร้อมปรับให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะให้คำจำกัดความที่ชัดเจนเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลและแพลตฟอร์มตัวกลาง เพื่อขจัดความคลุมเครือและสร้างมาตรฐาน และยังมีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่ครอบคลุมทุกด้านของกิจกรรมอีคอมเมิร์ซ พร้อมระบุสิทธิและหน้าที่ของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้ครอบคลุมทุกรูปแบบธุรกิจและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการกับปัญหาการจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่ผิดกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลและความมั่นคงทางไซเบอร์ อีกทั้ง ยังมีมาตรการรับรองความเป็นธรรมและความน่าเชื่อถือของบริการสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำให้กระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเสนอกฎหมายต่อสภาแห่งชาติใน ต.ค. 2568 คาดว่าจะได้รับอนุมัติภายใน พ.ค. 2569
อย่างไรก็ตาม ตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยขึ้นแท่นเป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับสามในอาเซียนในปี 2567 และติดอันดับที่ห้าของโลกในแง่อัตราการเติบโตในปี 2565 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซแบบ B2C เพิ่มขึ้นจาก 2,970 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2557 เป็น 20,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 มีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 20–30 ต่อปี และในปี 2567 แตะระดับ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 9 ของรายได้รวมจากสินค้าหรือบริการของประเทศ
สำหรับ Shopee เป็นแพลตฟอร์มครองตลาดด้วยกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกและโปรโมชันที่ดึงดูดผู้บริโภค ขณะที่ Tiki , Sendo และ Lazada Vietnam เป็นผู้เล่นหลักในตลาด โดย Tiki มีจุดเด่นด้านเครือข่ายโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ส่วน Sendo มุ่งเน้นเจาะกลุ่มตลาดในเขตชนบท แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Amazon และ AliExpress ของ Alibaba แม้จะมีบทบาทในตลาดเวียดนาม แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้เล่นท้องถิ่นและระดับภูมิภาค ทั้งนี้ ด้วยโครงสร้างประชากรที่อายุน้อยและมีความคล่องตัวสูง กว่าร้อยละ 70 ของการซื้อสินค้าออนไลน์ในเวียดนามดำเนินการผ่านอุปกรณ์มือถือ โดยสินค้ายอดนิยม ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า แฟชั่นผลิตภัณฑ์ความงาม และเครื่องใช้ในบ้าน
อย่างไรก็ตาม จากการปรับปรุงกฎหมายอีคอมเมิร์ซ ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนามมีโอกาสเติบโตสูงมาก อีกทั้งประชากรในเวียดนามกว่าร้อยละ 60 ยังมีการซื้อขายออนไลน์ มีมูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 400 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ทำให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางการซื้อขายหลัก โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่พร้อมรองรับการเติบโตของตลาดดิจิทัล ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
“เรามองเห็นโอกาสในการขยายตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ทันสมัย โดยโอกาสทางธุรกิจจากการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบริษัทข้ามชาติเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของเวียดนาม รวมถึงผู้ประกอบการจากต่างประเทศ สามารถใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่และขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ได้อย่างกว้างขวางในเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางสาวสุนันทา กล่าว
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169.