KBANK ทำกำไรQ1/65 อยู่ที่ 11,211 ล้านบาท โต 5% YoY 13% QoQ

KBANK เผยผลกำไรไตรมาส 1 รวมบริษัทย่อย 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโตทั้ง QoQ และ YoY ขณะที่สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนและสินเชื่อพาณิชย์โตหนุนสินเชื่อรวมโต สินเชื่อบ้านลดลง ส่วนรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง พร้อมเผย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังไม่แน่นอน เหตุจาก 2 ปัจจัย ทั้งสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครน

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า  ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2565 ยังคงเผชิญข้อจำกัดในการฟื้นตัว โดยแม้จะมีแรงหนุนจากการส่งออกสินค้า การใช้จ่ายและมาตรการสนับสนุนกำลังซื้อของภาครัฐ แต่การใช้จ่ายของภาคเอกชน ทั้งในส่วนของการบริโภคและการลงทุนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการขยับสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันและต้นทุนการผลิต

สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2565 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564  ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2565 จำนวน 11,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1,310 ล้านบาท หรือ 13.23% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 951 ล้านบาท หรือ 3.09% ส่วนใหญ่จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ 3.19%

โดยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 2,861 ล้านบาท หรือ 24.40% YoY (รายได้ค่าธรรมเนียมจัดการกองทุนและการเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ลดลง) และ QoQ (จากธุรกิจประกันที่ลดลงและกำไรเครื่องมือทางการเงินที่ลดลง) ส่วนสินเชื่อปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% QoQ หลักๆมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียนและสินเชื่อพาณิชย์ ในขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลดลง


ด้าน ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลง 3,088 ล้านบาท หรือ 15.08% เนื่องจากในไตรมาสก่อนมีค่าใช้จ่ายในกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ และค่าใช้จ่ายทางการตลาดซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 42.82%

นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยยังคงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ท่ามกลางการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์โควิด-19 และแนวโน้มจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 158.33% เป็นระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,133,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 จำนวน 29,849 ล้านบาท หรือ 0.73% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ 3.78% โดยธนาคารมีการติดตามดูแลคุณภาพเงินให้สินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด ขณะที่สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 3.76%

สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ 18.34% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.35%

น.ส.ขัตติยา กล่าว เพิ่มเติมว่า แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี มองว่า เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน เพราะยังคงต้องรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีต่อทิศทางราคาพลังงานและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password